เทคนิคการออมเงิน: คิดอย่างคนรวย

 

เทคนิคการออมเงิน: คิดอย่างคนรวย

จะรวยไม่รวยขึ้นอยู่กับความคิดของเราว่าเป็นอย่างไร อย่างที่บอกไปว่าจะรวยไม่รวยก็อยู่ที่ตัวเรา ดังนั้น เราจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดอย่างไร

คิดการใหญ่ไม่มองเล็ก: เมื่อเรามีทัศนคติที่ดีก็ควรจะไขว่คว้ามันมาและสร้างโอกาสนั้น ธรรมชาติของคนรวยมักจะคิดการใหญ่ ยกตัวอย่างคนที่สำคัญคือ บิล เกตส์ พบว่าเขาเป็นคนที่คิดการใหญ่มาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น โดยเขาว่าคอมพิวเตอร์จะกลายมาเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คนในอนาคต หลังจากนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะทุ่มเทเข้ามาทำธุรกิจที่เกี่ยวพันกับคอมพิวเตอร์ จนกระทั่งประสบความสำเร็จ

คิดว่าตัวเองต้องทำได้: ปรับทัศนคติเสียใหม่ อย่าคิดดูถูกตัวเอง คนที่จะรวยได้ต้องเริ่มคิดสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเองไม่คิดพึ่งพิงคนอื่น จะเห็นได้ว่าเศรษฐีในบ้านเราหลายคน ไม่ว่าจะเป็น คุณเจริญ  สิริวัฒนภักดี หรือ คุณเฉลียว อยู่วิทยา ก็ล้วนแต่สร้างและสั่งสมความร่ำรวยมาด้วยตันเอง โดยที่เขามีความคิดว่าเขาต้องรวยได้ และทำธุรกิจประสบความสำเร็จ
[เทคนิคการออมเงิน]

คิดว่าความรู้เป็นสิ่งมีค่า: ดังนั้น คนรวยมักเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา มีนิสัยชอบเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างที่มีอยู่มากมาย เช่น คุณบัฟเฟตต์ แม้จะร่ำรวยและอายุมากแล้ว เขาก็ยังเป็นคนที่เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง และยังแนะนำให้ทุกคนหมั่นศึกษาหาความรู้ใส่ตัวอยู่ตลอด

คิดวางแผนก่อนลงมือทำโดยไม่รอเวลา: ความจนคือสิ่งที่เราไม่ต้องการให้เกิดขึ้นกับเราและครอบครัว เพื่อความมั่งคั่งในอนาคต ดังนั้นจึงไม่ควรผัดวันประกันพรุ่ง ไม่รอเวลาเมื่อมีจังหวะและมีโอกาสมาถึง พวกเขาก็จะลงมือทำงานทำเงินทันที ตัวอย่างของ คุณเจริญ ค่อนข้างชัดเจน เขาเป็นคนที่มีความคิดวางแผนอย่างรอบคอบในเรื่องการทำธุรกิจ เมื่อคิดอย่างถ่องแท้แล้ว เขาก็จะลงมือทำเรียกว่าเป็นคนที่เมื่อตัดสินได้แล้วจะลงมือทำอย่างรวดเร็ว

คิดว่าให้เงินช่วยทำงานแทนเขา: คนจนเอาแต่อดทนทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาเก็บ แต่คนรวยกลับคิดตรงกันข้ามคือ เขาให้เงินช่วยทำงานแทนเขา ตัวอย่างที่ดีคือ คุณบัฟเฟตต์ เองเป็นคนที่ขยันทำงานมาหากิน เมื่อถึงจุดหนึ่งก็นำเงินมาลงทุนเพื่อให้เงินทำงาน โดย คุณบัฟเฟตต์เริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และนับจากนั้นเขาก็ให้เงินทำงานหนักกว่าเขาหลายเท่า
[เทคนิคการออมเงิน]  
 
ในเรื่องความคิดนั้นผู้เขียนนึกย้อนไปถึงคุณ แอนดรูว์ คาร์เนกี อภิมหาเศรษฐีเหล็กกล้ายุคแรกของโลก ในวัย 30 ปี คุณแอนดรูว์ได้เป็นเศรษฐีย่อย โดยเขามีรายได้เฉลี่ยต่อปี 50,000 ดอลลาร์ เขาเคยพูดเอาไว้ว่า ต่อให้เขาสูญเสียเงินหมดตัวไปในวันนี้ เขาก็สามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้อีก จากตัวอย่างข้างต้นคำตอบของความสำเร็จคือ “ความคิดและการลงมือกระทำ”

สรุปการคิดอย่างเศรษฐี

คือจะต้องมีความเชื่อที่หนักแน่นก่อนว่าเราก็เป็นเศรษฐีได้ เมื่อเชื่อแล้วก็ต้องลงมือทำงานอย่างขยันขันแข็ง มีวิริยะอุตสาหะ ตั้งใจทำงานอย่างทุ่มเท หมั่นหาความรู้เพื่อการพัฒนางาน และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ต้องไม่ใช้อย่างเศรษฐี คือต้องรู้จักกินอยู่อย่างพอเพียง หลายคนทำงานหาเงินได้มากมาย แต่ก็ไม่มีเงินเก็บออมเป็นกอบเป็นกำสักที เพราะหาได้มาก็ยิ่งใช้จ่ายมาก พอหน้าที่การงานเริ่มก้าวหน้าก็ใช้จ่ายมือเติบ เรียกว่ารสนิยมสูงเกินเงินเดือน แบบนี้อาจจะลงเอยด้วยการเป็นเศรษฐีหนี้แทนที่จะได้เป็นเศรษฐีเงิน
[เทคนิคการออมเงิน] 

    Choose :
  • OR
  • To comment