มั่งคั่งและมั่นคงด้วยการทำประกันชีวิต

 

 การวางรากฐานที่ “มั่นคง” ให้กับตัวเอง คือสิ่งที่คนรุ่นใหม่ที่อยากจะมีความ “มั่งคั่ง” ในชีวิตต้องคิดและให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ โดยเฉพาะหลายคนที่ไม่ได้รับมรดกกองโต และรายได้ส่วนใหญ่นั้นมาจากการทำงานและการหารายได้เสริมพิเศษ การลงทุนสร้างรากฐานความมั่นคงให้กับชีวิตตัวเอง ด้วยการทำประกันชีวิตก็คือว่าเป็นแนวคิดในการลงทุนที่ไม่มาก แต่สามารถช่วยเหลือคุณได้ในยามฉุกเฉิน หรือออมเป็นเงินไว้กินดอกกินผลในอนาคตได้

คิดจะเสี่ยงคุ้มหรือไม่

            พูดถึงเรื่องการทำประกันชีวิตแล้ว ในมุมความคิดของคนรุ่นใหม่ จำนวนไม่น้อย อาจจะมองว่าเป็นภาระระยะยาว เพราะหลายครั้งหลายคราวเราอาจจะได้ยินคนชอบซื้อประกันเพราะความเกรงใจ อย่างพ่อแม่ผู้เขียนก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เห็นตั้งแต่เด็ก ๆ มีเพื่อนบ้านมาขายประกันให้ แต่พอส่งไปสักปีสองปีทางบ้านเกิดภาวะการเงินฝืด ชักหน้าไม่ถึงหลัง ถึงเวลาจ่ายเบี้ยประกันก็เงินไม่พอ สุดท้ายก็กลายเป็นภาระ

            เหตุการณ์แบบนี้ยังเกิดขึ้นกับคนซื้อประกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะหลงคารมตัวแทนพนักงานขาย โดยลืมนึกถึงศักยภาพรายรับรายจ่ายของตัวเอง แต่ถ้ารู้หรือมีความพร้อมในระดับหนึ่ง ไม่ถึงกับต้องกัดก้อนเกลือกินหรืออดมื้อกินมื้อ คำว่าประกันชีวิตคือภาระที่ชอบพูดกันในวันนี้ อาจจะกลายเป็นตัวช่วยลดภาระให้กับคุณและครอบครัวได้ในอนาคต สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีบัตรประกันสังคมรักษาฟรี อย่าคิดว่าไม่ต้องทำประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพ เพราะยังมีหลักประกันคุ้มครองอนาคต และเมื่อตรวจสอบจากข้อมูลสิทธิของผู้ประกันตนก็จะพบว่า เงินตอบแทนที่ได้จากสิทธิประโยชน์ในแบบต่าง ๆ ไม่ได้มากพอที่จะทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายในระยะยาว

            นอกจากนั้น หากพูดตามหลักพุทธศาสนาที่เน้นย้ำเรื่องความไม่ประมาทแล้ว การดำเนินชีวิตของคนทุกวันนี้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงในรูปแบบต่าง ๆ เยอะมาก ไม่ว่าคุณจะดูแลร่างกายหรือมีสติมากแค่ไหนก็ตาม บางครั้งก็ไม่มีใครคาดเดาหรือรู้อนาคตได้ว่า พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับคุณหรือครอบครัว ทั้งในเรื่องสุขภาพโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงที่ดูเหมือนคนทุกวันนี้เป็นกันได้ง่าย ๆ จนน่าใจหาย อย่างมะเร็งหรืออุบัติเหตุมากมาย ที่เกิดจากปัจจัยต่าง ๆ และอยู่เหนือการควบคุม การฝากชีวิตไว้กับบัตรทองหรือบัตรประกันสังคมเพียงอย่างเดียว อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก การลดความเสี่ยงด้วยการมองหาประกันที่สามารถคุ้มครองคุณทั้งในเรื่องสุขภาพหรืออุบัติเหตุ หรือจะเก็บเป็นเงินออมเพื่อสร้างความมั่งมีให้กับชีวิตในระยะยาว แม้จะต้องใช้เวลารอคอยเงินกันสักนิด แต่ถ้าทำได้มันก็น่าจะคุ้มค่าไม่ใช่หรือ

หลักง่าย ๆ ในการซื้อประกัน

            การซื้อประกันแบบพอเพียงและไม่ให้เป็นภาระมากเกินสำหรับคนรุ่นใหม่ที่เงินเดือนยังไม่มานั้น สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการจัดสรรเงินที่มีอยู่สักเดือนละ 5-10% จากเงินออมเพื่อการลงทุนที่สะสมไว้แต่ละเดือน ซื้อประกันชีวิตหลักและประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุ เนื่องจากเราอาจจะเจ็บป่วยกะทันหันและต้องรักษาแบบฉุกเฉิน ซึ่งโรคบางอย่างในบัตรประกันสังคมยังไม่ครอบคลุม ก็สามารถใช้ประกันชีวิตตรงนี้มาเยียวยารักษาได้ มองเผิน ๆ จะเห็นว่าการซื้อประกันชีวิตมีรายละเอียด และเงื่อนไขเยอะ แต่สิ่งสำคัญในการเลือกซื้อประกันชีวิต นอกเหนือจากปัญหากาจ่ายเงินเกินกำลังแล้ว ความเข้าใจพื้นฐานในการซื้อประกันชีวิตก็ต้องพิจารณาให้ดีก่อน ว่าผู้ซื้อต้องการความคุ้มครองหรือต้องการเงินคืนกันแน่

            ถ้าต้องการความคุ้มครองก็คิดต่อไปว่าอยากได้ความคุ้มคอรงเท่าใด และสามรถจ่ายเบี้ยประกันได้เท่าใด แต่ถ้าเลือกเงินคืนต้องถามตัวเองต่อไปว่า ต้องการเงินคืนมากหรือน้อยแค่ไหน จากนั้นจึงมาดูว่ามูลค่าเบี้ยที่สามารถจ่ายได้มีเท่าใด นี่เป็นหลักการง่าย ๆ ในการเลือกซื้อประกัน

อยากได้อะไรกันแน่

            อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยตกหลุมพรางการซื้อประกันชีวิต เพราะความพูดเก่ง พูดดี พูดจาน่าเชื่อถือของพนักงาน โดยที่คุณเองขาดความเข้าใจพื้นฐาน ดังนั้นเมื่อคิดจะลงทุนกับประกันชีวิต ถ้าได้เจอตัวแทนหัวหมอมาเสนอขายประกันชีวิต โดยบอกว่าจะได้ผลตอบแทนระหว่างปีก้อนโตมาก ๆ ไม่ต่างจากการฝากธนาคาร ควรทบทวนความต้องการที่แท้จริงของตัวเองก่อน ว่าที่ซื้อประกันชีวิตเพราะอะไรกันแน่ หากต้องการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูง ควรไปลงทุนในรูปแบบอื่นจะดีกว่า การซื้อประกันชีวิตควรเป็นการซื้อเพื่อความคุ้มครอง เพราะเป็นการลงทุนที่ต่ำที่สุด คือจ่ายเบี้ยประกันถูกที่สุด ได้รับความคุ้มครองความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันรายได้ ฯลฯ

            บางครั้งหากคุณเจอตัวแทนขายประกันที่อยากทำยอดได้เยอะ ๆ ก็จะพูดจาหว่านล้อมให้ลูกค้าหลงเชื่อ ว่าการทำประกันชีวิตไม่ต่างอะไรกับการฝากเงินในธนาคารเลย บางคนพอได้ฟังก็เผลอติดกับดักนี้ซื้อประกันทันที หารู้ไม่ว่านี่เป็นแผนลวง เพราะฉะนั้นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การฝากเงินในธนาคารเป็นการออมเงินในระยะสั้น หมายความว่าจะฝากกี่บาทก็ได้ตามใจ ถอนได้ตามใจขึ้นอยู่กับเงินในบัญชีที่มีอยู่ เหมาะกับคนที่ต้องฝาก-ถอนอยู่ตลอดเวลา

            ในทางตรงกันข้าม การทำประกันชีวิตจะเน้นวัตถุประสงค์บางอย่าง เช่น ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ ฯลฯ ที่สำคัญคือการทำประกันชีวิตไม่สามารถถอนเงินก่อนกำหนดเวลาได้ ความแตกต่างอีกประการหนึ่งก็คือถ้าผู้ทำประกันชีวิตเสียชีวิตภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดในกรมธรรม์ประกันภัย แม้ว่าจะชำระเบี้ยประกันภัยมาเพียงงวดเดียวเท่านั้น ผู้รับประโยชน์ก็จะได้รับเงินประกันภัย ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าเบี้ยประกันภัยที่ชำระไปแล้วหลายเท่า แต่สำหรับการฝากเงินในธนาคาร ทายาทจะได้รับเพียงเงินฝากพร้อมดอกเบี้ยเท่านั้น

            นอกจากนี้ตัวแทนขายประกันบางคนอาจยัดเยียดประกันชีวิตให้กับลูกค้า โดยพยายามทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อตอนที่กำลังสับสนหรือเข้าใจผิดในบางเรื่อง อย่างเช่น บอกว่าสามารถนำเบี้ยประกันชีวิตไปหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 200,000  ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เพราะกรมการประกันภัยยังไม่มีการประกาศใช้ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของกรมสรรพากร เพราะจริง ๆ แล้วเบี้ยประกันชีวิตสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ 50,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่คนส่วนใหญ่ของประเทศได้ประโยชน์ จะเลือกประกันแบบไหนก็ตัดสินใจตามความเหมาะสม เพราะโอกาสสร้างความมั่นคงในชีวิตและทำให้งอกเงยอยู่ในมือคุณ

    Choose :
  • OR
  • To comment