โอกาสการลงทุนในยามวิกฤติ

 


“เมื่อเกิดวิกฤติย่อมก่อให้เกิดโอกาสในการเข้าไปเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ ที่มีพื้นฐานดีให้ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลดีเพื่อเป็นการลงทุนในระยะยาว”

     จากวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเริ่มจาก ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ส่งผลกระทบต่อ ความมั่นคงของสถาบันการเงิน เช่น Fannie May, Freddie Mac, การล้มละลายของบริษัทยักษ์ใหญ่เช่น Citigroup จนรัฐบาลสหรัฐฯต้องเข้าไปถือหุ้น ในขณะนี้วิกฤติดังกล่าวยังได้ลุกลามไปยังภาคธุรกิจอุตสาหกรรมหลัก (Real Sector) อื่นๆ อาทิ General Motors และ Chryslers ที่รัฐบาลสหรัฐฯจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือทางการเงินด้วย การอัดฉีดเงินกู้เป็นจำนวนมาก

     เมื่อวิกฤติเศรษฐกิจลามมาสู่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมหลัก ความสามารถในการจ่ายคืนหนี้ของภาคธุรกิจ ย่อมต้องลดลงผลที่ตามมาก็คือเริ่มมีหนี้เสียมากขึ้น การว่างงานหรือการเลิกจ้างงานสูงขึ้น ถ้านำวิกฤติที่เกิดขึ้นใน สหรัฐอเมริกาในขณะนี้มาเปรียบเทียบกับวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปี 2540 (1997)ในประเทศไทย จะเห็นได้ว่าเป็นรูปแบบคล้ายกันแต่รุนแรงกว่ามาก เพราะเมื่อเกิดวิกฤติขึ้นที่สหรัฐฯย่อมส่งผลกระทบไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก

     สำหรับประเทศไทย ผลจากวิกฤติที่เกิดขึ้นประกอบกับวิกฤติทางการเมืองที่เกิดขึ้นภายในประเทศก็ เป็นเหตุซ้ำเติม ส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนทางการเงิน ทำให้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ลดลงกว่าที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดวิกฤติย่อมก่อให้เกิดโอกาสในการเข้าไปเลือกลงทุนใน หลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดีให้ผลตอบแทนในรูปของ เงินปันผลดีเพื่อเป็นการลงทุนในระยะยาว

     โอกาสดีๆ ในการเลือกลงทุนระยะยาว

     เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่า ดัชนีหุ้นยังไม่ได้ลดลงมากเหมือนกับช่วงปี 2540 โดยในปัจจุบันประเทศไทยมีเงินสำรองระหว่างประเทศสูงถึงหนึ่งแสนล้านเหรียญ สหรัฐ ในขณะที่เมื่อปี 2540 หลายๆ บริษัทในประเทศไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ประมาณ 5 – 6 เท่า แต่ในปัจจุบันอยู่ที่เพียง 0.7 – 0.8 เท่า ซึ่งเป็นไปได้ยากที่ดัชนีตลาด หลักทรัพย์จะลงไปที่ 200 จุด เหมือนปี 2540

     การที่หลักทรัพย์ต่างๆ ถูกเทขายออกมาเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนต่างชาติต้องการนำเงินกลับประเทศ ฉะนั้นถ้าเทียบในแง่ของพื้นฐานนั้นปัจจุบันนี้ยังดีกว่าเมื่อปี 2540 มาก ดังนั้นจึงเป็นโอกาสในการลงทุนระยะยาว เมื่อราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐานมาก

     หุ้นพื้นฐานดีเพื่อโอกาสระยะยาว

     ในการลงทุนระยะยาวควรพิจารณาหุ้นที่สามารถอยู่รอดและยืนหยัดได้อย่าง ต่อเนื่องท่ามกลางกระแส เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง โดยมองไปที่หุ้นพื้นฐานดีซึ่งมีอัตราส่วนทางการเงินหลายๆ อย่างที่ต้องพิจารณา อย่างแรก คืออัตราส่วนความสามารถในการทำกำไร (Return on Equity) ถ้าได้ประมาณ 20% จะเรียกได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ลำดับที่สองคือ สัดส่วนหนี้สินต่อทุน ซึ่งควรจะมีหนี้สินต่ำหรือแทบจะไม่มีเลย ลำดับที่สามคือต้นทุนคงที่ของ บริษัท โดยควรมีต้นทุนคงที่น้อยเพราะถ้ามีต้นทุนคงที่สูง เมื่อขายสินค้าไม่ได้ก็ไม่มีเงินมาประคับประคองต้นทุนคงที่ที่ต้องจ่ายอยู่ ดีส่วนลำดับสุดท้ายคือ แบรนด์ของสินค้า ซึ่งมีผลต่อการขายมาก เนื่องจากเป็นจุดขายโดยเฉพาะในยามเศรษฐกิจไม่ดีและจะเป็นสินค้าที่ฟื้นตัว ได้ง่ายและเร็ว สรุปได้ว่าในภาพรวมให้พิจารณาว่าในสภาวะเศรษฐกิจ แบบนีบริษัทไหนจะสามารถอยู่รอดได้

     สำหรับกลยุทธ์การลงทุนนั้น เรามองเห็นวิกฤติครั้งนี้เป็นโอกาสในการซื้อหุ้นราคาถูก แนะนำให้ทยอยซื้อ เป็นล็อตๆ โดยแบ่งเงินที่จะลงทุนเป็นส่วนๆ แล้วทยอยซื้อนั่นก็คือการลงทุนตามภาวะตลาด เมื่อตลาดหุ้นตก ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำถึงจะตามมาทีหลัง เช่น เศรษฐกิจอเมริกาตกต่ำมาประมาณห้าเดือน แต่ตลาดหุ้นตกมาแล้วประมาณสิบห้าเดือน เนื่องจากตลาดหุ้นจะเป็นตลาดที่นำหน้าภาวะเศรษฐกิจ หากซื้อหุ้นในช่วงเศรษฐกิจต่ำสุดเราก็จะได้หุ้นราคาแพง ดังนั้นเราจึงควรซื้อหุ้นตอนเศรษฐกิจกำลังลงแม้ว่าจะยังไม่ถึงจุดต่ำสุดการ ทยอยลงทุนเป็นล็อตๆ จึงเป็นกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับภาวะตลาดนั่นเอง

     แนวทางการเลือกลงทุนในช่วงตลาดผันผวน

    ท่ามกลางวิกฤติยังมีโอกาสเสมอ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ผันผวนก็ยังมีทางเลือกในการลงทุนอีกหลาย ช่องทางที่รอให้นักลงทุนผู้มองการณ์ไกลเข้าไปจับจองพื้นที่แห่งการลงทุน

     “กองทุนรวม” ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เหมาะกับผู้ลงทุนที่ไม่มีเวลาในการติดตามภาวะ เศรษฐกิจการลงทุนอย่างใกล้ชิด เพราะมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพทำหน้าที่บริหารเงินลงทุนแทนผู้ลงทุนอย่าง เราๆ แถมยังมีให้เลือกลงทุนหลากนโยบายหลายระดับความเสี่ยง

     สำหรับการลงทุนในกองทุน หุ้น อาจจะเริ่มพิจารณาจากกองทุนหุ้นที่มีข้อได้เปรียบในการลงทุนก่อน เช่น กองทุน LTF และ RMF เพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับฐานภาษีของแต่ละท่าน ทั้งนี้การ ลงทุนในกองทุนทั้ง 2 ประเภทต่างก็เป็นการลงทุนในระยะยาว หากเลือกลงทุนในขณะนี้ที่หุ้นมีราคาค่อนข้างถูกโดยไม่จำเป็นต้องรอถึงปลายปี ก็จะมีโอกาสที่กองทุนจะทำกำไรได้มากในระยะยาวก็มีมากตามไปด้วย หรือผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและสามารถลงทุนได้ในระยะยาวก็สามารถแบ่ง เงินลงทุนเพิ่มอีกส่วนหนึ่งมาลงทุนในกองทุนหุ้นเพื่อโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ มากกว่าในอนาคตได้

     หากผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในกองทุน LTF แต่ยังกังวลกับภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวน พร้อมกับรับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นได้ในระดับต่ำและไม่คาดหวังผลตอบแทน จากการลงทุนมากนัก ก็สามารถเลือกกองทุน LTF ที่มีการนำตราสารอนุพันธ์เข้ามาบริหารความเสี่ยง โดยใช้วิธีทำธุรกรรมสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง ของราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง ซึ่งจะช่วยสร้างความอุ่นใจในการลงทุนกับ LTF ได้มากขึ้น

     สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก เล็กน้อย แต่มีสภาพคล่องสูงใน ระหว่างรอจังหวะการลงทุน ก็สามารถเลือกกองทุนตราสารหนี้ภาครัฐระยะสั้น หรือกองทุนตลาดเงิน ซึ่งผลตอบแทน จากการลงทุนไม่ต้องเสียภาษีณ ที่จ่าย 15% นอกจากนี้ยังมีสภาพคล่องสูงใกล้เคียงกับการฝากเงินออมทรัพย์คือ สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากการลดดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย กลางเดือนมกราคมที่ผ่านมาที่ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำปรับตัวลดลง อีกก็ยิ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

      “การที่หลักทรัพย์ต่างๆ ถูกเทขายออกมาเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนต่างชาติต้องการนำเงินกลับประเทศ ฉะนั้นถ้าเทียบในแง่ของพื้นฐานนั้น ปัจจุบันนี้ยังดีกว่าเมื่อปี 2540 มาก ดังนั้นจึงเป็นโอกาสในการลงทุนระยะยาวเมื่อราคาหุ้น ต่ำกว่าพื้นฐานมาก”

     นอกจากนี้แล้ว ในปีนี้ที่เศรษฐกิจยังคงชะลอตัวและตลาดการเงินยังคงมีความผันผวน การลงทุนในตราสารบางประเภทก็อาจมีโอกาสการลงทุนเป็นระยะๆ เช่น การลงทุนในกองทุนตราสารภาครัฐในต่างประเทศ หรือกองทุน พันธบัตรประเทศเกาหลีก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจและให้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก ประจำ

    Choose :
  • OR
  • To comment