ใครไม่มีบัตรเครดิตบ้างยกมือขึ้น แหม..ไม่น่าจะถามเล้ย เพราะใคร ๆ เขาก็มีบัตรเครดิตกันทั้งนั้น ทุกวันนี้ถ้าต้องการเงินสดหรือซื้อของก่อนจ่ายทีหลัง มีแค่บัตรเครดิตอย่างเดียวซะที่ไหน บัตรกดเงินสดหรือบัตรผ่อนสินค้ามีกันออกให้ควั่กทุกสถาบันการเงิน เมื่อก่อนนี้กว่าจะมีบัตรเครดิตสักใบต้องทำเรื่องยื่นขอ เสียค่าธรรมเนียมการใช้บัตรปีละหลายร้อยไปถึงหลักพัน แต่ทุกวันนี้แค่มีเงินสดอย่างน้อย 15,000 บาท โอนผ่านบัญชีทุกเดือนและโอนผ่านอย่างสม่ำเสมอ พอครบหนึ่งปีก็มีจดหมายมาเชิญท่าสมาชิกผู้มีเกียรติทำบัตรเครดิตในวงเงินครึ่งหนึ่งของยอดเงินที่โอนผ่านบัญชีทุกเดือน แถมด้วยฟรีค่าธรรมเนียมการใช้บัตรอีกต่างหาก
บัตรผ่อนสินค้ายิ่งแล้วใหญ่ เรียกว่ามีไว้บริการคนที่รายได้ปานกลางค่อนไปทางน้อย เพราะเงินเดือนประมาณ 6,000 บาท ก็สามารถทำบัตรผ่อนสินค้าเหล่านี้ได้แล้ว สำหรับผู้เขียนเห็นว่า ถ้ามีบัตรผ่อนสินค้าประเภทนี้ไว้ เพื่อผ่อนจ่ายในโปรโมชั่น 0% ก็คงจะไม่เป็นไร แต่ส่วนใหญ่บางคนมักเอาไปผ่อนสินค้ามาก่อนแล้วทยอยจ่ายเงินทีหลัง ซึ่งแน่นอนว่าต้องเสียดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูงพอสมควรต่อเดือน และดีไม่ดีกว่าจะผ่อนหมดรวมเงินที่ผ่อนทั้งต้นและดอกเบี้ยเกือบทบครึ่งของราคาสินค้าเลยก็มี ส่วนบัตรกดเงินสดนั้นมีที่มาของการเป็นสมาชิก 2 กรณี กรณีแรกคือเมื่อเป็นสมาชิกบัตรผ่อนสินค้าไปนาน ๆ ก็จะมีการอัพเกรดบัตรของท่านให้เป็นทั้งบัตรกดเงินสดและบัตรผ่อนสินค้า คราวนี้ใช้สอยกันตามสะดากเลยล่ะค่ะ ดีไม่ดีมีการเพิ่มวงเงินให้อีกต่างหาก และอีกกรณีคือบัตรกดเงินสดที่ต้องสมัครกับสถาบันการเงินโดยตรง ซึ่งแบบหลังนี้จะมีวิธีการพิจารณาคุณสมบัติใกล้เคียงกับการสมัครบัตรเครดิต เพียงแต่ฐานเงินเดือนอาจจะน้อยกว่าเล็กน้อย
มาถึงตรงนี้นึกได้ว่า ดิฉันกำลังเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน หรือกำลังชี้โพรงให้กระรอก ที่กำลังอยากลองมีบัตรเหล่านี้ใช้อยู่หรือเปล่าเนี่ย แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าไปใช้เงินล่วงหน้าเหล่านี้ อยากให้ลองมาฟังประสบการณ์ตรงของการถูกทวงหนี้โหดจากบัตรเหล่านี้กันก่อนดีกว่า
ประสบการณ์ถูกทวงหนี้โหด
ครั้งแรกเหตุเกิดด้วยความโชคไม่ดี ผู้เขียนไปซื้อซิมการ์ดของโทรศัพท์เครือข่ายหนึ่งจากร้านขายซิมการ์ดโทรศัพท์เล็ก ๆ ในห้าง ใจตอนนั้นก็เลือกเบอร์สวยที่สุดล่ะค่ะ พอใช้ซิมนี้ไม่ถึงครึ่งวันเริ่มมีเบอร์โชว์ 02 โทรเข้า แต่บังเอิญไม่ได้รับสาย โทรกลับไปก็ไม่สามารถติดต่อได้ สักพักเบอร์โทร 02 เหมือนเดิมแต่คนละเบอร์กับครั้งก่อนหน้าโทรมาพอรับสายปุ๊บก็เหมือนถูกจิกหัวตบทันที เพราะปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงจิกกัดประหนึ่งว่าเพียรพยายามมากว่าชาติครึ่งในการโทรติดต่อ ตอนแรกงงเป็นไก่ตาแตก ก็อยู่ดี ๆ ไปเป็นหนี้บัตรกดเงินสดที่ไม่เคยมีมาก่อนได้ยังไง เสียงปลายสายเว้นวรรคนิดหนึ่งเหมือนผิดสังเกตว่าทำไมปลายทางจึงไม่โต้ตอบพอเขาเว้นวรรคเท่านั้นแหละค่ะถึงคราวเราบ้าง
ก่อนอื่นเลยสอบถามพนักงานว่าต้องการติดต่อกับใคร เธอก็บอกชื่อมาแต่โดยดีพร้อมทั้งนามสกุล ก็เลยตอบไปว่า คนปลายที่คุณด่าเมื่อกี้ไม่ใช่ชื่อนี้ค่ะ เธอก็เงียบพักหนึ่ง แต่ยังไม่ยอมแพ้ ถามต่อด้วยอารมณ์จิกกัดเช่นเดิมว่า แล้วไปได้เบอร์มายังไง ก็ตอบไปตามตรงว่าเพิ่งซื้อซิม มาจากร้านเมื่อเช้านี้ ยังไม่จบค่ะ ถามต่ออีกว่ารู้จักคนชื่อนี้ไหม คำตอบคือไม่ ก็คนซื้อซิม มาจากร้านจะรู้ได้ยังไง ผู้เขียนเริ่มเสียงแข็งขึ้น เธอก็ขอโทษ แล้วก็วางสายไป
แต่เชื่อไหมคะ ยังไม่ทันพ้นสองชั่วโมงก็มีแบบเดิม จากสถาบันการเงินเดิมโทรมาอีก แต่คนละเบอร์และคนละคน สไตล์การทวงเหมือนเดิม จนทำให้นึกถึงคำพูดของพี่คนหนึ่งที่บอกว่า “ตอนเชิญไปสมัครสมาชิกไปในฐานะแขกผู้มีเกียรติ แต่พอเป็นหนี้ไม่จ่ายยิ่งกว่าสุนัขข้างถนน” เพราะคำพูดตอนเชิญกับตอนทวงหนี้ต่างกันยิ่งนัก แถมถ้าใช้หนี้ครบแล้ว ก็กลับสถานะเป็นแขกผู้มีเกียรติได้เหมือนเดิมเสียด้วย
นอกเรื่องไปซะไกล กลับเข้ามาการทวงหนี้ต่อ ผู้เขียนก็ยังตอบเหมือนครั้งแรกที่ผ่านมา และไม่ลืมที่จะตบท้ายด้วยการบอกว่า กรุณาลบเบอร์นี้ออกจาระบบข้อมูลของคุณซะ เพราะนี่ไม่ใช่เบอร์ลูกหนี้คุณ เธอก็รับปากดิบดีแต่สายที่สาม สี่ ห้า ยังตามมาเรื่อย ๆ จนในที่สุดผู้เขียนทนไม่ไหว หรืออาจจะถึงคราวซวยของเขาบ้าง ผู้เขียนบันทึกเทปการสนทนาเอาไว้ สมัยนั้นเครื่อง MP3 ที่มีไว้ฟังเพลงหรืออัดเสียงกำลังนิยม เลยได้เอามาใช้ประโยชน์กับเขาบ้าง
ครั้งนั้นผู้เขียนตอบคำถามเหมือนเดิมทุกอย่าง และตบท้ายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่าอย่าลืมเปลี่ยนฐานข้อมูลในระบบนะคะ เพราะสถาบันการเงินของคุณโทรมาหลายครั้งแล้ว และคำตอบที่ได้ก็เหมือนเดิมทุกครั้ง เธอก็รับปากดิบดี ผู้เขียนเลยขอถามชื่อ ไม่รู้ว่าเพราะหลงคำหวานหรือด้อยประสบการณ์ เธอบอกชื่อค่ะ รีบจดเอาไว้ทันทีและปิดการสนทนาด้วยการปิดเครื่องอัด
อีกหนึ่งวันต่อมา มีพนักงานจากสถาบันเดิมโทรมาทวงหนี้เช่นเคย แต่คราวนี้ผู้เขียนบอกว่าไม่อยากคุยกับพนักงาน ขอคุยกับหัวหน้าฝ่ายการทวงหนี้เรื่องการประนอมหนี้ได้หรือไม่ พนักงานดีใจหายรีบโอนให้หัวหน้าทันทีระหว่างนี้ไฟล์บันทึกเสียงพร้อมเปิด เมื่อหัวหน้ารับสายผู้เขียนเริ่มต้นด้วยการบอกว่าคนที่คุยอยู่ด้วยนี้ ไม่ใช่ลูกหนี้ของคุณ แต่ถูกจิกกัดทวงหนี้จนชีวิตเบื่อหน่ายกับโทรศัพท์ไร้สาระนี้มากแต่ไม่รับก็ไม่ได้ เพราะต้องติดต่องานกับคนอื่น ๆ ซึ่งใช้เบอร์โทรศัพท์ทั่วไปโทรมา หัวหน้าเขาบอกว่ามีการเช็คฐานข้อมูลอย่างดี ไม่มีผิดตัวแน่นอน และพอจะเดาทางได้ว่าเขาคงมาไม้นี้ก็เลยเปิดไฟล์เสียงการสนทนาครั้งสุดท้ายที่มีชื่อของพนักงานคนที่รับปากว่าจะแก้ไขฐานข้อมูลให้ฟัง ปลายสายเงียบค่ะ
ตอนนี้ได้ทีผู้เขียนจึงบอกรายละเอียดว่า พนักงานของเขาโทรมาทวงหนี้กี่ครั้ง วันที่เท่าไร เวลาไหนบ้าง และจำนวนกี่ครั้ง พร้อมตบท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกแต่ชัดถ้อยชัดคำว่า “ถ้าคุณยังไม่หยุดโทรมาทวงหนี้ฉัน ฉันจะฟ้องสถาบันการเงินของคุณ” แล้ววางสายไป ทายสิคะว่ามีการทวงหนี้อีกไหม ตั้งแต่วันนั้นไม่มีโทรศัพท์จากสถาบันการเงินนั้นอีกเลย ระยะเวลาที่ผ่านมาผู้เขียนถูกทวงหนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อมากกว่า 20 ครั้ง บอกได้คำเดียวค่ะว่าเครียดมาก เบื่อมาก และรำคาญใจ นี่ขนาดไม่ต้องเครียดเรื่องหาเงินมาใช้หนี้นะคะ คิดดูสิว่า ถ้าเป็นหนี้ด้วยจะแย่สักแค่ไหน
นี่เป็นเพียงเทคนิคหนึ่งของการทวงหนี้ค่ะ ที่เขาจะใช้โทรศัพท์โทรออกเป็นหมายเลขโทรศัพท์ทั่ว ๆ ไป แต่เราโทรกลับไม่ได้ และจะผลัดเปลี่ยนกันโทรทวงตามลูกหนี้เรื่อย ๆ วันละไม่ต่ำกว่า 3 เวลาก่อนและหลังอาหารก็ว่าได้ ซึ่งจะ ทำให้คนที่ได้รับโทรศัพท์รู้สึกเครียดมากและไม่เป็นอันทำมาหากิน จนต้องปิดเบอร์หนี อย่างที่เจ้าของซิมเก่าทำกับผู้เขียน
แต่ก็เอาเถอะ จากประสบการณ์ถูกทวงหนี้ครั้งนี้นอกจากจะได้ลองลิ้มรสการเป็นลูกหนี้แล้ว ยังได้เรียนรู้ว่า เราไม่ควรซื้อซิมตามร้านขายซิมเล็ก ๆ เลยค่ะ เพราะเราไม่รู้ว่าซิมที่เอามาขายนั้นรับมาจากไหน เป็นซิมใหม่หรือเปล่าและอาจจะได้ของแถมอย่างผู้เขียนก็ได้
ยังไม่หมดค่ะ ประสบการณ์ที่สองของการถูกทวงหนี้ยังเกิดขึ้นกับชีวิตของผู้เขียนอีก คราวนี้ไม่ใช่ฐานะลูกหนี้อย่างหนแรก แต่อยู่ในสถานะเพื่อนร่วมงานของลูกหนี้ เรียกว่าเครียดไม่แพ้กันเลยค่ะ เช้าโทรก่อนอาหาร กลางโทรบ่ายโทรก่อนเลิกงาน ไม่ใช่โทรเข้าโทรศัพท์มือถือลูกหนี้นะคะ แต่คราวนี้โทรเข้าเบอร์โต๊ะที่ทำงาน ประหนึ่งจะประจานให้ได้รับรู้ทั่วกันว่า คนคนนี้เป็นหนี้ และไม่ยอมใช้หนี้สิน ส่วนสไตล์การทวงหนี้ก็ยังจิกกัดเหมือนเดิม เล่นเอาเพื่อนร่วมงานข้างเคียงขยาดไม่กล้ารับโทรศัพท์ของเพื่อนคนนี้เวลาที่เขาไม่อยู่โต๊ะ เพราะออกไปติดต่องานกับแผนกต่าง ๆ แต่เมื่อรับและบอกว่าเธออยู่ห้องประชมบ้าง ออกไปนอกสถานที่บ้าง พนักงานทวงหนี้คงโมโห หรือไม่ก็หาว่าเราช่วยกันโกหกก็มี การจิกมาตามสายว่า “ไม่อยู่จริง ๆ หรือตั้งใจไม่รับสายคะ” คนรับสายแทนถึงกับอึ้ง และหลังจากนั้นเพื่อนร่วมงานก็ได้อ้อนวอนแกมบังคับให้ผู้เขียนทำหน้าที่รับสายแทนเมื่อเพื่อนลูกหนี้ไม่อยู่โต๊ะ
แล้ววันร้ายของพนักงานทวงหนี้ก็มาถึง เมื่อเพื่อนคนหนึ่งบังเอิญไปรับสายแทน แล้วถูกพนักงานทวงหนี้ใช้วาจาไม่เหมาะสม คราวนี้เราก็ใช้วิธีเปิดสายแทน แล้วถูกพนักงานทวงหนี้ใช้วาจาไม่เหมาะสม คราวนี้เราก็ใช้วิธีเปิดลำโพงโทรศัพท์และอัดเทปอีกเช่นเคย เมื่อพนักงานใส่อารมณ์เต็มที่และพักเหนื่อยสูดอากาศหายใจ ผู้เขียนก็ใช้จังหวะนี้บอกเขาดี ๆ ไปว่า ลูกหนี้ของเขาไม่อยู่ จะฝากโน้ตอะไรไว้ไหม คำถามสุดฮิตที่ถามทุกครั้งตามมาทันทีว่า “ไม่อยู่หรือตั้งใจไม่รับสายกันแน่”
ผู้เขียนสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วบอกว่า “คุณคะ คนที่คุณกำลังพูดด้วยอยู่ตอนนี้และทุกคนที่เคยรับสายของคุณมา ไม่มีใครอยู่ในสถานะลูกหนี้ของคุณสักคน และไม่มีใครสมควรที่จะมาฟังน้ำเสียงจิกกัดในการทวงหนี้ของคุณ ถ้าคุณต้องการทวงหนี้จริง ๆ กรุณาโทรเข้ามือถือลูกหนี้ของคุณซะ เพราะยังไงเขาก็รับโทรศัพท์ และคุณเองก็ไม่ได้ใช้เบอร์เดียวโทรตลอดทุกครั้ง และถ้าคุณจะโทรมาทวงหนี้ที่เบอร์บริษัท ขอความกรุณาใช้คำพูดกับคนที่รับสายให้ต่างจากการพูดกับลูกหนี้ของคุณได้ไหมคะ เพราะน้ำเสียงและลักษณะการพูดของคุณเป็นมลพิษทางอารมณ์ของทุกคน ไม่อย่างนั้นฉันจะร้องเรียนเข้าไปที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทคุณ ด้วยหลักฐานเทปบันทึกการสนทนาครั้งนี้ พร้อมด้วยวันที่ เวลาที่โทร พร้อมเบอร์ที่ใช้อยู่ตอนนี้ แค่นี้นะคะ” วางสายค่ะ พร้อมด้วยเสียงเฮของทุกคนที่เคยรับสายทวงหนี้แทนเพื่อน
(เทคนิคการเจรจาเหล่านี้ผู้เขียนได้มาจากพี่ที่ทำงานด้านกฎหมาย และไม่สงวนลิขสิทธิ์นะคะ หากคุณผู้อ่านจะนำไปใช้เมื่อรู้สึกว่าตัวเองถูกคุกคามจากพนักงานทวงหนี้โหด ๆ เหล่านี้)
กลยุทธ์การทวงหนี้ของสถาบันการเงินในระบบเหล่านี้อาจจะไม่รุนแรงทางร่างกายเหมือนการเป็นหนี้นอกระบบ แต่มีความรุนแรงต่ออารมณ์ของลูกหนี้มากค่ะ และการทวงหนี้มาทางบริษัท ไม่ว่าจะเป็นทวงทางโทรศัพท์ แฟกซ์ จดหมายทวงหนี้ หรือส่งจดหมายเปิดผนึก ล้วนถือเป็นการประจานลูกหนี้ให้อับอายทั้งนั้น ทั้งสองประสบการณ์ถูกทวงหนี้ของผู้เขียนพอจะทำให้สัมผัสได้ถึงหัวอกของคนเป็นลูกหนี้บ้างไหมคะ