การวางแผนภาษี (Tax Planning) คือ การเตรียมการเพื่อเสียภาษีให้ถูกต้อง ครบถ้วน และประหยัด การทำให้ไม่ต้องชำระภาษีหรือการทำให้เสียภาษีน้อยที่สุดโดยวิธีการที่ถูก ต้องตามกฎหมายก็ถือเป็นการวางแผนภาษีอากรด้วย
การหนีภาษี (Tax Evasion) คือ การที่ผู้เสียภาษีใช้วิธีการที่ผิดกฎหมายหรือฉ้อฉลเพื่อที่จะทำให้ไม่ต้อง เสียภาษีหรือเสียภาษีน้อยลง ซึ่งการกระทำเช่นนี้มีความผิดและต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ตัวอย่างของการหนีภาษี เช่น ผู้เสียภาษีไม่กรอกจำนวนเงินได้หรือทรัพย์สินที่จะต้องเสียภาษีในแบบแสดง รายการโดยเจตนา หรือกรอกแต่กรอกไม่ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อให้เสียภาษีน้อย หรือการตั้งราคาโอน (Transfer Pricing) ก็เป็นการหนีภาษีเช่นเดียวกัน
การตั้งราคาโอน (Transfer Pricing) คือ การที่บริษัทในเครือของบริษัทข้ามชาติ (Multinational Firm) ซื้อสินค้าจากบริษัทแม่หรือในบริษัทในเครือในต่างประเทศในราคาสูงกว่าความ เป็นจริง เพื่อทำให้ต้นทุนสูงกำไรของบริษัทในประเทศไทยจะได้ต่ำ และทำให้เสียภาษีน้อยลง หรือการที่บริษัทในประเทศไทยขายสินค้าให้แก่บริษัทแม่หรือบริษัทในเครือใน ต่างประเทศ ในราคาต่ำกว่าความเป็นจริง กำไรจะได้ต่ำหรือขาดทุน ทำให้เสียภาษีในประเทศไทยน้อยหรือไม่ต้องเสียภาษีเลย
การหลบหลีกภาษี (Tax Avoidance) คือ การที่ผู้เสียภาษีใช้วิธีการที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อทำให้ไม่ต้องเสียภาษี หรือเสียภาษีน้อยลง การใช้ช่องโหว่ของกฎหมายภาษีอากร (Tax Loopholes) เพื่อทำให้ไม่ต้องเสียภาษี หรือเสียภาษีน้อยลงก็ถือเป็นการหลบหลีกด้วย การหลบหลีกภาษีถือเป็นการกระทำที่ไม่ผิดกฎหมาย ฉะนั้นการหลบหลีกภาษีจึงเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนภาษี ตัวอย่างของการหลบหลีกภาษี เช่น การที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยไม่นำเงินได้ที่ได้รับจากการทำงานหรือ ประกอบธุรกิจในต่างประเทศเข้ามาในปีภาษีเดียวกันกับที่ได้รับเงินได้นั้น แต่นำเข้ามาในปีภาษีอื่น ทำให้ไม่ต้องเสียภาษี ก็เป็นการหลบหลีกภาษีที่ไม่ผิดกฎหมาย เพราะตามแนวปฏิบัติของกรมสรรพากร หากผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยไม่นำเงินได้ที่ได้รับจากการทำงาน หรือประกอบธุรกิจในต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกับที่ได้รับ เงินได้นั้น กรมสรรพากรก็ไม่เก็บภาษี (หนังสือกรมสรรพากร ที่ กค 0802/696 ลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2530)
ข้อควรจำที่ผู้วางแผนภาษีไม่ควรลืม:-
- ผู้วางแผนภาษีควรจะรู้ว่ามีเงินได้ ทรัพย์สิน หรือธุรกรรมอะไรบ้างที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการยกเว้นภาษีนั้น อาจเป็นการยกเว้นโดยพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงก็ได้ นอกจากนี้อาจเป็นการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี การยกเว้นภาษีนั้นอาจจะเป็นการยกเว้น โดยพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา หรือกฎกระทรวงก็ได้ นอกจากนี้อาจจะเป็นการยกเว้นโดยอนุสัญญาภาษีซ้อน (Double Taxation Agreement) ซึ่งประเทศไทยได้ทำไว้กับประเทศต่าง ๆ รวม 40 ประเทศก็ได้
- ผู้วางแผนภาษีควรจะรู้ว่าองค์กรธุรกิจใดเสียภาษีมากน้อยแตกต่างกันอย่าง ไร เพื่อที่จะช่วยให้ตัดสินใจเลือกองค์กรธุรกิจที่เหมาะสมแก่การประกอบการได้ ถูกต้อง ไม่ว่าองค์กรธุรกิจเหล่านี้จะเป็น กิจการเจ้าของคนเดียว ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด กิจการร่วมค้า (Joint venture) และกลุ่มบริษัท (Consortium)
- ผู้วางแผนถาษีควรจะรู้รายละเอียดของภาษีแต่ละประเภท ตัวอย่างเช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล ผู้วางแผนภาษีควรจะรู้ว่าผู้ใดเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล เสียจากเงินได้อะไร? เสียในอัตราเท่าใด? ถ้ามีข้อพิพาทเกิดขึ้นจะมีวิธีการในการหาข้อยุติอย่างไร?
- ผู้วางแผนภาษีควรจะรู้ว่าสัญญาแต่ละประเภทมีภาระภาษีอย่างไร? ไม่ว่าจะเป็นสัญญาซื้อขายสัญญาจ้างทำของ สัญญาเหมาเบ็ดเสร็จ (Turnkey contract) สัญญาให้เช่าช่วยเหลือทางเทคนิค (Technical Assisstance Agreement) สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ (Licensing Agreement) สัญญาร่วมค้า (Joint Agreement) สัญญากลุ่มบริษัท (Consortium Contract) และควรจะรู้ต่อไปว่าคู่สัญญาฝ่ายใดเป็นผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีและหักภาษี ณ ที่จ่าย นอกจากนี้ควรจะรู้ว่ามีสัญญาอะไรบ้างที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีหรือได้ รับการลดภาษี
- ผู้วางแผนภาษีควรจะรู้บัญชีภาษีอากร (Tax Accounting) เพราะในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มต้องใช้บัญชีภาษีอากร จะใช้รับบัญชีการเงิน (Financial Accounting) ไม่ได้ บัญชีภาษีอากรเป็นบัญชีที่กำหนดโดยภาษีอากร เช่น ประมวลรัษฎากรต่างจากบัญชีการเงิน ฉะนั้นกำไรหรือขาดทุนที่ปรากฏอยู่ในงบกำไรขาดทุนซึ่งทำขึ้นตามหลักบัญชีการ เงินจึงยังใช้เสียภาษีไม่ได้ ต้องมีการปรับปรุง (Adust) ให้เป็นไปตามหลักบัญชีภาษีอากร ซึ่งบัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 65, 65 ทวิ และ 65 ตรี
- ผู้เสียภาษีควรจะทำบัญชีและเก็บรักษา บัญชีพร้อมเอกสารประกอบการลงบัญชีตามที่กฎหมายกำหนด มิฉะนั้นอาจได้รับโทษทางอาญาและต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น เช่น เจ้าพนักงานประเมินอาจจะใช้อำนาจประเมินภาษีในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใดๆ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 71 (1) แม้บริษัทผู้เสียภาษีจะขาดทุนก็ตาม