เมื่อเรารู้แล้วว่าเงินมีชีวิต นั่นก็หมายความว่าในวันที่เราเป็นเจ้านายของเงินอย่างแท้จริง เราก็สามารถใช้เงินให้ไปทำงานแทนเราได้ ลองนึกย้อนกลับไปทบทวนเรื่องบุคลิกของเงินมีชีวิต 4 ลักษณะก่อนที่เราจะใช้ให้พวกเขาทำงาน เพราะเมื่อคุณรู้จักบุคลิกของเงินอย่างเข้าใจถ่องแท้และสามารถควบคุมรายรับและรายจ่ายทุกอย่างได้ สร้างกองทัพเงินได้ ตลอดจนหาประสบการณ์ทางการเงินให้มากพอที่จะเริ่มยุทธการ “ใช้เงินให้ทำงาน” เมื่อวันนั้นมาถึง เราสามารถบอกตัวเองได้ทันทีเลยว่า “ทำไมเงินหาง่ายอย่างนี้”
บุคลิกด้านซ้ายของเงินมีชีวิต แบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ
1. เงินเจ้านาย เมื่อไหร่ที่เรามีเจ้านายที่ไม่ใช่ตัวเองเป็นเจ้านายแล้วล่ะก็ หมายความว่าเราต้องทำทุกอย่างตามคำสั่ง บางคนอาจจะโต้แย้งว่าเราไม่มีความจำเป็นต้องทำตามคำสั่ง เพราะเงินไม่สามารถลงโทษหรือเอาผิดอะไรกับตัวเราได้ ลองคิดตามดูนะครับ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องใกล้ ๆ ตัว เมื่อคนเราจำเป็นต้องกินอาหารเนื่องจากร่างกายเรียกร้อง ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินซื้ออาหารใช่ไหม หากเราคิดว่ามีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงจึงคิดที่จะอดข้าว แต่เมื่ออดข้าวไปได้สักระยะ จะเกิดปัญหาน้ำย่อยกัดกระเพาะอาหาร เป็นสาเหตุให้กระเพาะอาหารอักเสบ แล้วก็ต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา อย่างนี้ต้องใช้เงินรักษาใช่ไหม นี่เป็นตัวอย่างง่าย ๆ สรุปแล้วจะต้องมีเงิน หากปราศจากเงิน ชีวิตก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งแรกที่ทำให้ต้องออกไปทำงาน นั่นก็คือ เพื่อการดำรงชีพ เมื่อมีเงินเพื่อการดำรงชีพแล้ว ก็จะหาเงินเพื่อซื้อความสะดวกสบายที่เพิ่มมากขึ้น และรวมไปถึงเพื่อความมั่นคงในชีวิต ในทางตรงกันข้าม หากว่ายังต้องหาเงินเพื่อการดำรงชีพที่มีรายรับน้อยกว่ารายจ่าย ก็ต้องยอมรับว่าตัวเราเองมีเจ้านายที่คอยนั่งบงการชีวิตทุกเวลาและทุกนาทีเพื่อให้เราออกไปหาเงิน
2. เงินเพชฌฆาต หรือเงินเจ้านายผู้มีอำนาจสูงสุด และมักจะทำให้คนหลงใหลในพลังอำนาจของเงิน และหลงเข้าใจผิดคิดว่าเงินนั้นเป็นมิตรแท้ อย่างไรก็ตาม เงินเจ้านายจะมีลูกน้องที่ซื่อสัตย์นั่นก็คือ เงินเพชฌฆาต ซึ่งมีหน้าที่ลงโทษผู้ที่ตกเป็นทาสของเงินเจ้านาย แล้วเงินเพชฌฆาตจะมาเมื่อไหร่ล่ะ คำตอบก็คือ เมื่อเราใช้เงินล่วงหน้า เงินที่ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง หรือเงินของสถาบันการเงิน (เงินกู้) หากเราพลาดพลั้งวันใด เงินเพชฌฆาตก็จะออกมาทันที สิ่งแรกที่รับรู้ได้ก็คือความทุกข์ทางใจ ความอับอายที่ถูกทวงเงินจากผู้ที่เรานำเงินของเขามาใช้และตามมาด้วยการฟ้องร้องดำเนินคดีเพื่อเรียกร้องเงินคืนตามสัญญาตลอดจนเสียค่าดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าปรับผิดสัญญา สรุปแล้วเราต้องหาเงินมาจ่ายมากกว่าเงินต้นที่สูงถึง 0.50-1.50 เท่า อีกทั้งยังต้องถูกขึ้นบัญชีดำ ดังนั้น เงินเพชฌฆาตจะตามทวงหนี้กับผู้ที่ไม่หาเงินมาจ่ายคืนให้ “เงินเจ้านาย” ของมัน
บุคลิกด้านขวาของเงินมีชีวิต แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. เงินมิตรแท้ เมื่อไหร่ที่เรามีรายรับเท่ากับรายจ่าย หรือมีรายรับสูงกว่ารายจ่าย และสามารถใช้เงินแก้ปัญหาบางอย่างได้โดยไม่กระทบค่าใช้จ่ายต่อเดือน นี่คือสัญญาณที่บอกว่าเราก้าวผ่านพ้นเงินด้านซ้ายมาได้แล้ว และเป็นก้าวสำคัญของตัวเราเองที่จะสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งทางการเงิน ในขณะที่เราสามารถสร้างมิตรภาพกับเงินถึงขั้นที่เงินคือมิตรแท้ได้แล้ว นั่นเป็นเพราะเรารู้จักทำมาหาเงิน รู้จักใช้จ่าย และมีวินัยทางการเงิน โดยปฏิบัติตามกฎแห่งเงิน 9/1 ดังนั้น เมื่อเรามองกลับไปที่เงินเก็บออมมันก็จะมีมากขึ้น และยังเข้าใกล้เป้าหมายของการออมเพื่อลงทุนอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อเรามาอยู่ในด้านขวาของเงินชีวิตที่มีเงินเป็นมิตรแท้แล้ว สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นคือความสุขที่ได้รับ เพราะมันสามารถลดความกังวลเกี่ยวกับเรื่องเงินไม่พอใช้จ่ายได้ในระดับที่น่าพอใจ
2. เงินทาส เมื่อเงินออมที่เก็บสะสมตามกฎแห่งเงิน 9/1 ได้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว ก็ถึงเวลาที่จะจัดกระบวนทัพเพื่อการลงทุน โดยใช้กฎแห่งเงินลงทุน 3/1 เมื่อมีความพร้อมที่จะเริ่มลงทุน เราจะต้องคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ใช้ข้อมูลที่แท้จริงที่ศึกษามาอย่างละเอียดกับเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ต้องวิเคราะห์ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่เราสนใจอย่างเป็นกลาง เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็ลงทุน นี่ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับชีวิตในการเริ่มเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ เริ่มที่จะเรียนรู้การใช้เงินให้ทำงานเพื่อหาเงินกลับมาให้เราเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ที่มาของรายได้ก็คือ การทำงาน กล่าวคือ เราต้องออกไปทำงาน โดยใช้ประสบการณ์ ความสามารถ ความคิด แรงงานและเวลา เพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จากนั้นก็ใช้เงินให้ทำงานกล่าวคือเป็นการใช้เงินให้ออกไปทำงานแทนเรา ฉะนั้น การใช้เงินทำงานก็คือเงินจะถูกลงทุนไปกับกิจการ ธุรกิจ หรืออุตสาหกรรมที่เราเลือกลงทุนและเมื่อครบกำหนการจ่ายเงินปันผลของกิจการนั้น ๆ เงินที่ลงทุนไปก็จะกลับมาหาเรา พร้อมกับพรรคพวกเพื่อนเงินที่เพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่งและเงินที่เพิ่มขึ้นนั้นก็มาจากกิจการที่เราลงทุนไปมีกำไรนั่นเอง
นอกจากนี้ เงินยังทำงานอย่างหนักตลอด 24 ชั่วโมง โดยการไปใช้คนในกิจการนั้น ๆ ให้ทำงาน จนมีผลกำไรเกิดขึ้นแล้วปันผลกำไรจากสัดส่วนของเงินที่เราได้ลงทุนไป จะเห็นไดว้าเงินสามารถทำงานและเพิ่มมูลค่าให้เราได้ ในขณะที่เรายังทำงานอยู่อีกที่หนึ่งเพื่อหารายได้ ในกรณีนี้เรามีกองทัพเงิน 3 กองทัพหลักและ 1 กองทัพสำรอง ที่พร้อมทำหน้าที่ในการหารายได้ให้เราตลอด 24 ชั่วโมง
ฉะนั้น เมื่อเราสามารถสะสมกองทัพเงิน และจัดกระบวนทัพเงินตามกฎแห่งเงินลงทุน 3/1 ก็หมายความว่า เราได้เพิ่มศักยภาพในการหารายได้ที่ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขของเวลา ต่อวัน ต่อสัปดาห์ หรือต่อเดือนเป็น 4 เท่า การลงทุนในระยะแรกอาจจะให้ผลตอบแทนไม่มากนักและยังต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร แต่เมื่อเงินลงทุนส่วนแรกของกองทัพหลักกลับมาพร้อมเงินที่เพิ่มขึ้นจากผลตอบแทน จากนั้นเราก็ส่งกองทัพเงินเข้าไปลงทุนอีก เมื่อถึงเวลามันก็จะกลับมาหาเราพร้อมกับเงินที่เพิ่มขึ้นอีก ต่อจากนั้นเงินทุนที่เรามีอยู่จะหมุนเวียนและสร้างเงินเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ
มาดูตัวอย่างการใช้เงินให้ทำงานกับการลงทุนในหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ สมมติว่าเราใช้เงินทุนส่วนที่หนึ่งเป็นเงินจำนวน 50,000 บาท ลงทุนซื้อหุ้นของบริษัท A ราคาหุ้นละ 50 บาท ซึ่งบริษัทนี้มีการจ่ายเงินปันผลทุก ๆ 6 เดือน เฉลี่ยปีละประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเงินทุนจำนวนดังกล่าวสามารถซื้อหุ้นได้ 1,000 หุ้น หากว่าซื้อตั้งแต่เดือนมกราคม พอถึงเดือนมิถุนายน บริษัทแจ้งว่าได้รับเงินปันผล 6 เปอร์เซ็นต์ โดยคิดเป็นเงิน 3 บาทต่อหุ้น ดังนั้นในเดือนมิถุนายนจะได้เงินปันผล 3,000 บาท หักภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15 เปอร์เซ็นต์เป็นเงิน 450 บาท ฉะนั้น เงินคงเหลือจะเท่ากับ 2,550 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้จะถูกโอนเข้าบัญชีอีกประมาณ 1 เดือนต่อมา หุ้นของบริษัท A มีราคาเพิ่มเป็นหุ้นละ 62 บาท เราจึงตัดสินใจขายหุ้นตัวนี้ หลังจากวิเคราะห์แล้วว่ามันมีแนวโน้มลดลงในอีกสามเดือนข้างหน้า หลังจากที่ขายหุ้นตัวนี้ไปในราคาหุ้นละ 62 บาท ทำให้ได้รับมา 62,000 บาท เมื่อนำมาหักเงินที่ลงทุน จึงมีกำไรจากการขายหุ้น 12,000 บาท (เงินจำนวนนี้ไม่ต้องเสียภาษี) สรุปได้ว่า รายได้จากเงินลงทุนก้อนแรกที่ได้รับคิดเป็น 14,550 บาท หรือ 29.10 เปอร์เซ็นต์จากเงินลงทุน ดังนั้น เงินจำนวน 50,000 บาท ที่นำไปลงทุนนาน 7 เดือน จะได้รับผลตอบแทนพอสมควร
อย่างไรก็ตาม เราต้องทำตามกฎแห่งเงิน 9/1 กับทุก ๆ รายได้ที่ได้รับ โดยนำเงินหนึ่งส่วนที่เก็บออมไปลงทุน แล้วใช้กฎแห่งเงินลงทุน 3/1 มาใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพในการลงทุน นั่นหมายความว่า เงินลงทุนในส่วนนี้จะมีเพิ่มมากขึ้น และตัวเราเองก็มีเงินสำรองเพื่อการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ทำให้ระดับความเป็นอยู่ของเราเปลี่ยนไป
บทความที่เกี่ยวข้อง: