อิสรภาพทางการเงินใครบ้างไม่อยากได้

 

 ลองจิตนาการดูว่า เมื่อเราตื่นนอนในตอนเช้าจากเตียงที่แสนนุ่มในห้องนอนที่เย็นสบาย ตกแต่งอย่างที่เราปรารถนา แล้วออกมายืนหน้าระเบียงเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ของยามเช้า และชมความงามของสวนภายในบ้านขนาด 400 ตารางวา ได้ยินเสียงนกร้อง ได้กลิ่นหอมของดอกไม้และหญ้าเขียวขจี จากนั้นก็เดินไปนอนแช่น้ำอุ่นในอ่างน้ำวนเพื่อผ่อนคลายอย่างมีความสุขและใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องรีบร้อนไปทำงาน อยากไปกินอาหารที่ไหนก็ไปได้ อยากไปเที่ยวที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ อยากไปสปาเพื่อนวดผ่อนคลายก็ได้ไป ไม่ต้องกังวลกับการหาเงินเพื่อดำรงชีพและยังมีรายได้เข้ามาตลอดเวลา มีรายจ่ายน้อยกว่ารายได้หลายเท่า อีกทั้งยังให้ความสุขกับตัวเองและครอบครัวได้อย่างเต็มที่ รวมถึงมีความมั่นคงทางการเงินที่เป็นหลักประกันอนาคตของคนที่เรารักอีกด้วย

            อิสรภาพเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ และต้องการหลุดพ้นจากการควบคุม ครอบงำ และคำสั่งจากผู้อื่น แน่นอนว่าทุกคนอยากมีอิสรภาพทางความคิด การชีวิต และการเลือกความเป็นอยู่ในชีวิตของตน อย่างไรก็ตาม การที่จะประกาศอิสรภาพได้นั้น จะต้องเกิดจากความเข้มแข็งของบุคคลนั้น ๆ  เป็นสำคัญด้วย เพราะการได้มาซึ่งอิสรภาพนั้นไม่ใช่เส้นทางที่สวยหรูหรือโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป บางครั้งเส้นทางที่เดินก็ต้องผ่านหนทางที่ขรุขระและอุปสรรคมากมาย ดังนั้น การเดินทางเพื่อไปสู่อิสรภาพจะต้องใช้ความเข้มแข็งของจิตใจ ความมานะอดทน ความขยันหมั่นเพียร ตลอดจนความไม่ย่อท้อต่อปัญหาและอุปสรรค

            ดังนั้น อิสรภาพทางการเงินจึงเป็นเป้าหมายที่ใครหลายคนปรารถนาและพยายามไปให้ถึง เพราะคนเหล่านั้นทราบว่า การมีอิสรภาพทางการเงินหมายถึง การมอบความสุขที่เปรียบเหมือนสวรรค์บนดินที่สามารถสัมผัสขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ และยังหมายถึงหลุดพ้นจากการเป็นทาสของเงินตรา สามารถประกาศชัยชนะจากเงิน เปลี่ยนตัวเองให้เป็นทั้งเพื่อนและเป็นทั้งเจ้านายของเงินอย่างถาวร

            สิ่งที่ใครหลายคนต่างก็ปรารถนาคือ การหลุดพ้นจากชีวิตที่ต้องรีบตื่นขึ้นแล้วไปทำงานเพียงเพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงและดำรงชีพ หมดปัญหาหนี้สิน รวมทั้งหมดปัญหารายรับน้อยกว่ารายจ่าย แนวทางในหนังสือเล่มนี้เป็นการนำเสนอการเงินในรูปแบบของสิ่งมีชีวิตที่มีบุคลิกแตกต่างกัน ชี้ให้เห็นถึงการใช้ชีวิตในสังคมยุคโลกาภิวัตน์ในระบบทุนนิยม ที่จะซื้ออะไรก็แสนจะง่ายดาย ขอเพียงให้มีงานประจำทำก็เพียงพอ

            เมื่อระบบการเงินแบบทุนนิยมเฟื่องฟู ก็มักจะมีกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่ออกมาเพื่อจูงใจให้คนเป็นหนี้อย่างง่าย ๆ เช่น ต้องการเป็นเจ้าของรถในราคา 1 ล้านบาท ด้วยเงินดาวน์เพียง 10 เปอร์เซ็นต์ หรือ 5 เปอร์เซ็นต์ หรือไม่ต้องมีเงินดาวน์เลย สิ่งเหล่านี้สร้างแรงจูงใจให้กับคนที่คิดไม่ทันเงินเพชฌฆาตที่ซึ่งมีดอกเบี้ยและทำให้ซื้อรถแพงกว่าความเป็นจริงเกือบเท่าตัวหรือต้องการเป็นเจ้าของทวีจอยักษ์ในราคาครึ่งแสนบาทหรือแสนกว่าบาทด้วยเงื่อนไขที่ไม่ต้องมีเงินดาวน์ ไม่มีดอกเบี้ย และสามารถผ่อนระยะยาวตั้งแต่ 6-24 เดือนเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้นี่เองเงินเพชฌฆาตจึงซ่อนอยู่ในรูปแบบของสัญญาณและการผิดนัดชำระ ราคาที่ขายนั้นไม่ใช่ราคาขายปลีกจริงแต่ได้รวมดอกเบี้ยไว้แล้ว เป็นต้น และสังคมในปัจจุบันนั้นเป็นสังคมที่มีแต่การแข่งขัน และเน้นที่ค่านิยมในสินค้าราคาแพง ซึ่งเป็นผลมาจากการทำการตลาดของเจ้าของผลิตภัณฑ์

            จากการที่เราสามารถเป็นเจ้าของสินค้าราคาแพงได้อย่างง่ายดาย จึงทำให้หลายคนขาดสติไม่คิดถึงผลเสียที่จะตามมา ด้วยมีความเชื่อมั่นแต่ขาดเหตุผลรองรับว่าตัวเองนั้นสามารถควบคุมอนาคตทางการเงินได้ แต่ในขณะเดียวกัน ตัวเองก็ยังไม่สามารถก้าวพ้นจากการทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีพได้ และยังเป็นทาสของเงินที่ไม่สามารถหยุดตัวเองได้เลยแม้ว่าจะเจ็บป่วย นอกจากนี้ หลายคนยังคิดว่ารายได้ของตัวเองนั้นมีความมั่นคงทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยคิดคำนวณเลยว่า เงินที่มีอยู่นั้นหากว่าเราไม่สามารถทำงานสัก 5 ปีหรือ 10 ปี มันจะสามารถรองรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นของเราได้หรือไม่

            ประเด็นอยู่ที่ว่า การทำความเข้าใจว่าเงินมีชีวิตและเงินมี 4 บุคลิก ตลอดจนเงินพร้อมที่จะเปลี่ยนไปเป็นอะไรก็ได้ตลอดเวลา และตราบใดที่เรายังไม่สามารถประกาศชัยชนะเหนืออำนาจเงินที่ครอบงำเราอยู่ในทุกวันนี้ได้ ตราบนั้นเราก็ยังไม่มีอิสรภาพทางการเงิน ดังนั้น การเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้จึงจะเป็นหลักประกันทางการเงินสำหรับอนาคตได้ดีที่สุด เมื่อเรารู้แล้ว่าเงินมีชีวิต และมี 4 บุคลิก อีกทั้งเรายังรู้จักกฎแห่งเงิน 9/1 ที่จะนำพาเราให้ก้าวพ้นจากเงินเจ้านายและแสวงหาเงินมาเป็นเพื่อน และรวมไปถึงกฎแห่งเงินลงทุน 3/1 ที่จะพาเราให้ก้าวพ้นจากทาสของเงินมาเป็นเจ้านายของเงิน เพื่อประกาศชัยชนะและมีอิสรภาพทางการเงินอย่างถาวรตามที่ปรารถนา

            อุปสรรคที่สำคัญที่สุดของการก้าวให้ผ่านพ้นด้านซ้ายของเงินมีชีวิตได้นั้นก็คือ การมีสติรู้จักประมาณตัวเอง รู้จักคิดและเปรียบเทียบความเหมาะสมก่อนการตัดสินใจกระทำการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่าย รู้จักยับยั้งชั่งใจ โดยใช้ความสมเหตุสมผล ฉะนั้นกฎแห่งเงิน 9/1 เป็นกฎที่ว่าด้วยการจัดสรรเงินเพื่อใช้จ่ายในการดำรงชีพและการออมเงินเพื่อเป็นรากฐานในการสร้างอนาคตทางการเงิน การจะใช้กฎแห่งเงินให้มีประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์ที่ดีได้นั้น ผู้ใช้กฎจะต้องมีวินัยทางการเงินที่สูงมาก รู้จักว่าเงินส่วนไหนมีไว้เพื่อใช้จ่ายอะไร ต้องควบคุมการใช้เงินให้อยู่ในกรอบของเงินที่มีอยู่ให้ได้ และที่สำคัญสำหรับอนาคตทางการเงินก็คือ ต้องไม่นำเงินที่เก็บออมเพื่อการลงทุนมาใช้จ่ายเด็ดขาด นอกจากจะใช้เพื่อการลงทุนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และเมื่อเราใช้กฎแห่งเงิน 9/1 ให้เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตแล้ว ในระยะเวลาหนึ่งเราจะเริ่มเห็นและรับรู้ได้ถึงสัญญาณว่าเราก้าวพ้นด้านซ้ายจองเงินมีชีวิตมาได้แล้ว ซึ่งสัญญาณนั้นจะบอกให้รู้ถึงรายรับที่มีมากกว่ารายจ่าย ไม่มีปัญหาหนี้สิน ไม่มีปัญหาค่าใช้จ่ายไม่พอเพียงต่อการดำเนินชีวิต

            เมื่อบรรลุเป้าหมายของเงินออมที่ตั้งไว้ตามกำหนดแล้ว  ในขณะที่เราได้เรียนรู้และศึกษาข้อมูลทางการลงทุนในแต่ละธุรกิจหรืออุตสาหกรรมอย่างเข้าใจพร้อมที่จะลงทุนแล้ว ก็จงเริ่มต้นใช้กฎแห่งเงินลงทุน 3/1 โดยเลือกการลงทุนให้เหมาะสม พึงระลึกไว้เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ก่อนลงทุนผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด และการลงทุนให้ได้ผลตามคาดหมายจะต้องใช้เวลาระยะพอสมควร ถ้าใช้เงินลงทุนเพื่อซื้อมาแล้วขายไป ซึ่งเรียกว่า “การค้าขายปกติ” การใช้เงินออมเพื่อการลงทุนส่วนนี้หมายความว่าเราได้พาตัวเองข้ามจากด้านซ้ายมาอยู่ด้านขวาของเงินมีชีวิตแล้ว และก็มีเงินเป็นมิตรแท้ด้วย

            เพื่อนแท้คือผู้ที่จะช่วยเราได้รับแต่สิ่งดี ๆ เมื่อเงินคือเพื่อนแท้ ก็แสดงว่าเราสามารถให้เพื่อนไปทำงานแทนเราได้ และให้เพื่อนแท้พาเพื่อนที่เป็นมิตรเหมือนกันกลับมาหาเราได้ตลอดเวลา การที่เราสามารถก้าวผ่านพ้นด้านซ้ายของเงินมีชีวิตได้ แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จระดับหนึ่งของเส้นทางสู่ชัยชนะทางการเงิน ในเส้นทางด้านขวาของเงินมีชีวิตนั้นใช่ว่าจะง่ายดายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก แต่ก็ไม่ใช่ยากเหมือนฝ่าดงจระเข้ เพียงแต่เส้นทางนี้เป็นเส้นทางของผู้มีสติและไม่โลภมากเกินสิ่งที่ตัวเองจะได้รับ มีสิตไม่หลงตามกระแสนิยมมากกว่าข้อมูลความจริงที่ตัวเองมีอยู่ รู้จักเงินทุนของตัวเองและลงทุนตามเงินทุนที่มีอยู่

            เมื่อก้าวมาอยู่ด้านขวาของเงินมีชีวิต ก็หมายความว่าเราเริ่มใช้เงินทำงานแทนเราในขั้นตอนนี้ ซึ่งการเริ่มต้นสะสมกองทัพเงินในช่วงนี้ ต้องใช้ความอดทนและต้องใช้ระยะเวลาเป็น 2 ปี 3 ปี หรือ 5 ปี แล้วเราก็จะมีกองทัพเงินที่ใหญ่มากขึ้น หมายถึงมีเงินเพิ่มขึ้นและทำให้เรามีศักยภาพที่จะลงทุนได้มากขึ้น ดังนั้น ผลตอบแทนก็สูงขึ้นเช่นกัน อนาคตทางการเงินที่มั่นคงก็จะเริ่มชัดเจนขึ้น  และในที่สุดสัญญาณแห่งชัยชนะก็คือมีรายได้เพิ่มขึ้นตลอดเวลา ทำงานน้อยลง มีเวลามากขึ้น รายจ่ายน้อยกว่ารายได้ เมื่อสัญญาณมีความชัดเจนมากขึ้น สิ่งปรารถนาสูงสุดก็ดูจะไม่ไกลเกินเอื้อม นั่นคือ อิสรภาพทางการเงิน ที่มั่นคง มั่งคั่งและถาวรกับชีวิตของเราตลอดไป
           

    Choose :
  • OR
  • To comment