วิธีในการสกัดจุดเงินรั่วไหล

 

ถ้าจะเปรียบการเงินของเราเป็นตุ่มน้ำสักใบ นอกจากจะต้องขยันตักน้ำใส่ตุ่มแล้ว ก็คงต้องรักษาตุ่มไม่ให้มีรูรั่ว การเงินก็เช่นกัน การหาเงินเก่งนั้นสำคัญก็จริง แต่ยังสำคัญน้อยกว่าการบริหารเงินและสกัดจุดที่เงินทองรั่วไหล

จุดที่ 1 คิดว่าเรามีแต่ของจำเป็น
            แน่นอนว่าใคร ๆ ก็จำเป็นต้องมีบ้านอยู่ มีข้าวกิน มีเสื้อผ้าใส่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ  ที่ต้องรูลึกลงไปอีกว่าภายใต้ของจำเป็นพวกนี้มีความเกินจำเป็นซ่อนอยู่ อย่างถ้าจะซื้อบ้านสักหลังแทนที่จะซื้อแบบพออยู่ แต่กลับเลือกแบบบ้านในฝันทุกประการ ถึงแม้จะหลังใหญ่ไป ค่าบำรุงรักษาแพงก็ยอม ตอนควักกระเป๋าจ่ายก็หน้ามืดน่ะสิ

            หรือถ้าจะซื้อรถยนต์สักคัน ก็ดันคิดแต่ว่ารถเป็นสิ่งจำเป็น ใคร ๆ เขาก็มีกัน รถไม่ใช่ของฟุ่มเฟือยสักหน่อย ก่อนซื้อเคยบวกลบดูหรือยังว่าระหว่างขึ้นรดโยสารจากบ้านไปที่ทำงาน ถึงจะหลายต่อหน่อยแต่จ่ายน้อยและมีรถโดยสารเยอะ กับการซื้อรถต้องผ่อนทุกเดือน ทั้งที่รายจ่ายด้านอื่นก็ตึงเปรี๊ยะ อันไหนคุ้มกว่ากัน คือประมาณว่า คนเราจะซื้ออะไรไปย่อมหาเหตุผลมาให้ตัวเองได้เสมอ และส่วนใหญ่เหตุผลที่ยกมาก็ใช้ความต้องการเป็นตัวตั้ง เรียกว่าหาเหตุผลมาสนับสนุนและสร้างความมั่นใจอย่างไรนั้น
จุดที่ 2 คิดว่าคุ้มค่า
            ข้อนี้สำหรับสาวกแบรนด์เนมทั้งหลาย ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้ต่อต้านการใช้สินค้าแบรนด์เนม เพราะของบางอย่างซื้อแล้วใช้ได้คุ้มค่า มีบริการหลังการขายและใช้ได้นานก็น่าลงทุน แต่ก็ต้องดูเงินในกระเป๋าเราด้วย อย่างผู้เขียนเองก็ยังซื้อเสื้อเชิ้ต รองเท้า และกระเป๋าแบรนด์เนมอยู่ แต่มีอยู่เพียงไม่กี่ชิ้น เพราะฉะนั้นของที่ซื้อมาจึงได้ใช้ประโยชน์จริง ๆ เรียกว่าสามารถใช้ได้นานเป็นปี ๆ และใช้อยู่เกือบทุกวัน ราคาของสินค้าจึงถูกหารย่อยลงมาเป็นจำนวนวันที่ใช้ พอหมดอายุการใช้งานจะเห็นเลยว่าใช้คุ้ม ดีกว่าซื้อของถูกไม่ทันไรก็เสียต้องโยนทิ้งแล้วซื้อใหม่ เปลืองยิ่งกว่าซื้อของมีคุณภาพ แต่ราคาค่อนข้างสูงอีกต่างหาก
            แต่การซื้อสินค้าแบรนด์เนมของผู้เขียนก็มีเทคนิคอยู่นิดเดียว คือ อย่างน้อยต้องลด 20-50% หรือถ้าต่ำกว่านั้นได้จะยิ่งดี และอีกวิธีคือซื้อของใช้เหล่านี้เพียงปีละครั้งเท่านั้น เราสามารถกำหนดเองได้เลยว่าคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าของเราจะเปลี่ยนช่วงไหนของปี เมื่อครบรอบเซลล์ก็ครบรอบของการช็อปครั้งใหม่ ก่อนออกจากบ้านรื้อตู้เสื้อผ้าสำรวจคุณภาพของที่เรามีด้วยว่าอันไหนต้องโล๊ะ ชิ้นไหนยังใช้ได้ และทำลิสต์รายการเอาไว้ เพื่อที่ไปถึงจะได้ไม่ซื้อสะเปะสะปะ แต่เลือกซื้อที่แมตซ์กับเสื้อผ้าที่เรามีอยู่แล้วด้วย พอทำแบบนี้งบสำหรับใช้ในการชอปปิ้งแบรนด์ดัง ๆ จึงถูกใช้เพียงปีละครั้ง

จุดที่ 3 โปรโมชั่นพิเศษ
            หากนักช้อปทราบข่าวการจัดโปรโมชั่นพิเศษจากสื่อต่าง ๆ ก็มักจะอดใจรอไม่ไหวแน่นอน ของถูกก็มีเสน่ห์คนละแนวกับของแพง เพราะซื้อง่ายจ่ายคล่องลืมเสียดายสตางค์ ไม่จำเป็นต้องซื้อก็ซื้อเพราะถูกเกินห้ามใจ ยิ่งช่วงเซลล์ลดกระหน่ำ แทนที่จะซื้อมาชิ้นเดียวเลยซื้อมายกโหลแบบไม่มีคนหารข้าวของถูก ๆ บางชิ้นที่ซื้อมากลายเป็นซื้อมาเก็บมากกว่าซื้อมาใช้ สุดท้ายก็ลงไปกองก้นถังขยะแทน
            อีกประเภทคือ ซื้อ 2 แถม 1 หรือซื้อครบ 10,000 บาท แล้วได้ของแถม 4,500 บาท คนก็มักเห็นแก่ของแถม เห็นของแถมเหมือนต้องมนต์สะกดไม่อาจปล่อยโอกาสหลุดมือไป แทนที่จะจ่ายน้อยเท่าที่ต้องใช้ เลยกลายเป็นต้องจ่ายเกลี้ยงกระเป๋า

จุดที่ 4 รู้สึกดีที่ชีวิตสบายขึ้น
            เงินพลาสติกหรือเจ้าบัตรเครดิตนี่ทำให้ชีวิตของเราดูสบายขึ้นทันตา อยากได้อะไรก็รูดบัตรไปก่อน รูดมาก ๆ ของแถมยิ่งเร้าใจ เพราะมีแต้มสะสมเอาไว้แลกอะไรได้อีกตั้งมากมาย แถมทุกวันนี้การทำบัตรเครดิตยังง่ายกว่าการสมัครสมาชิกร้านเช่าวิดีโอหรือดีวีดีเสียด้วยซ้ำ นั่งเล่นอยู่บ้านเพลิน ๆ ก็มีคนโทรศัพท์มาออดอ้อนให้สมัครสมาชิกบัตรเครดิต เงินอนาคตมารออยู่ตรงหน้า ตอนแรกอาจจะสมัครเพราะทนแรงตื๊อไม่ไหว แต่เชื่อเถอะว่าพอมีบัตรแล้วความจำเป็นต้องใช้บัตรตามมาเอง
            เมื่อเราเอามาใช้จนเพลิดเพลินกลายเป็นเอาเงินอนาคตมาใช้จนหมุนจ่ายไม่ทัน คราวนี้ล่ะค่ะ ลูกค้าผู้มีเกียรติที่ถูกเชิญมาเป็นสมาชิก จะกลายสภาพไปเป็นลูกหนี้ ถ้ายิ่งไม่มีเงินจ่ายมักจะถูกจิกยิ่งกว่านางซินเสียอีก ความสุขสบายที่เราเผลอคิดไปเองในตอนแรกนั้นจะพังทลายลงทันที มีแต่หนี้ก้อนโตเท่านั้นที่รออยู่

จุดที่ 5 ฟรีดอกเบี้ย
            เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่แยบยล เพราะกิจกรรมฟรีดอกเบี้ยสินค้าต่าง ๆ ทั้งรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า บ้านหรือคอนโด ฯลฯ ล้วนทำให้คนที่คิดว่าของเหล่านี้จำเป็น รู้สึกว่าไม่ต้องจ่ายเงินก้อนโตและไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยก็ได้เป็นเจ้าของ แต่หารู้ไม่ว่าเขามีการบวกราคาไว้เรียบร้อยแล้ว และถ้าเป็นสินค้าที่ต้องผ่อนนานกว่าหนึ่งปี มีหรือที่ดอกเบี้ยในปีต่อ ๆ ไปจะไม่ถูกบวกเพิ่มเอาไว้

            เอาล่ะค่ะ รู้กันแล้วว่าจุดรั่วไหลของเงินในกระเป๋าเรามาจากสาเหตุอะไรบ้าง คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะมาสกัดจุดเงินรั่วกันแล้ว

ซื้อเท่าที่จำเป็น
            คำตอบเหมือนกำปั้นทุบดิน แต่เป็นเรื่องจริงนะคะ ของบางอย่างที่กำลังลดกระหน่ำ หากเรามีเพียงพออยู่แล้วไม่จำเป็นต้องซื้อก็ได้ อย่าซื้อของเพียงเพราะ “คิดว่าจะมีโอกาสได้ใช้” ยกเว้นแต่ว่าของนั้นเป็นของอุปโภคบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และมีระยะยะเวลาในการหมดอายุยาว ๆ ของบางอย่างที่หมดอายุเร็วหรือมีอายุการใช้งานที่จำดัดไม่ควรซื้อเด็ดขาด

เป็นตัวของตัวเอง
            อย่าซื้อเพียงเพราะคนอื่นบอกว่ามันจำเป็นสำหรับเรา หรือเพราะราคาถูก เมื่อเราเป็นตัวของตัวเองย่อมไม่ตกเป็นเหยื่อกลยุทธ์ทางการตลาด ไม่ว่าจะเขาจะใช้เทคนิคไหน ๆ มาล่อตาล่อใจ หากยึดหลักเอาตัวเองและความพอเพียงเป็นที่ตั้ง ก็จะทำให้เรามีเงินเหลือเก็บแน่นอน

อย่านำเงินอนาคตมาใช้
            คนที่มีบัตรเครดิตหลายใบอย่าเพิ่งกระหยิ่มยิ้มย่องไป การใช้เงินผ่านบัตรเครดิตเป็นการใช้ในอนาคตอย่างที่บอก และมักทำให้คนเราลืมนึกถึงเรื่องการประหยัด เพราะคิดว่าเดี๋ยวเดือนหน้าก็มีงานพิเศษที่ได้เงินก้อนโตมาแน่ ๆ หรือไม่ก็คิดว่าจะมีโบนัสสิ้นปีมาโปะ แบบนี้ถือว่าเป็นการเดินสวนทางกับความมั่งคั่ง ทางที่ดีควรใช้เงินปัจจุบันอย่างมีสติดีที่สุด

            ทั้งหมดที่ว่าในบทนี้ หัวใจสำคัญอยู่ที่การรู้จักรูรั่วทางการเงินของตัวเอง และอุดรูรั่วนั้นได้ทันเวลา อย่ามัวแต่ตักน้ำเข้าตุ่มเพลินจนลืมสำรวจรอยรั่วที่น้ำไหลออกจากตุ่ม ถ้าคุณไม่อยากเหนื่อยเปล่าแต่ไม่ได้อะไรตอบแทน



    Choose :
  • OR
  • To comment