สำหรับผู้ที่มีรายได้ประจำไม่มากนัก พอกินพอใช้เลี้ยงดูครอบครัว และมีเงินออมก้อนหนึ่งประมาณ4-5 แสนบาท ควรลงทุนอย่างไรให้ได้ประโยชน์พอสมควรโดยไม่เสี่ยงมาก เพราะถ้าเงินลงทุนเกิดเสียหาย จะทำให้ครอบครัวขาดความมั่นคงในทางการเงินเพราะรายได้ที่มีก็ไม่มากอยู่แล้ว
![]() |
เทคนิคการลงทุน |
ก. หากเราไม่มีบ้านก็ต้องไปเช่า จ่ายค่าเช่าเดือนละหลายพันหรือเป็นหมื่น เทียบกับการวางเงินดาวน์เพื่อซื้อบ้าน ค่าผ่อนจะไม่มากกว่าค่าเช่าเท่าใดนัก การวางเงินดาวน์เพียง 10% แล้วผ่อนไป 10 ปี, 15 ปี หรือ 20 ปี ก็จะเป็นเจ้าของบ้านโดยสมบูรณ์ การผ่อนบ้านจึงไม่มีภาระหนักกว่าการเช่าบ้านเท่าใดนัก และถือเป็นการออมเงินไปในตัว
ข. บ้านเป็นทรัพย์สินที่ยิ่งใช้ราคายิ่งเพิ่ม ต่างกับการซื้อรถยนต์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือซึ่งใช้ไปไม่กี่ปีราคาหายไป 50-90%
ค. การอยู่บ้านที่สะดวกสบายได้รับความสุขทางใจอย่างมาก ทรัพย์สินบางอย่างเราไม่เคยเห็นตัวตน เช่น เงินฝากแบงค์หรือหน่วยลงทุนที่ซื้อกับ บลจ. หรือหุ้นที่ฝากไว้ที่ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์
ง. เงินผ่อนบ้านหักภาษีได้ปีละ 50,000 บาท ถ้าคุณมีรายได้ปีหนึ่งเกินกว่า 5 แสนบาท ต้องเสียภาษี 20% ผ่อนบ้านไป 50,000 บาท เท่ากับรัฐบาลคืนภาษีให้ 10,000 บาท
จ. รัฐบาลส่งเสริมการซื้อขายบ้านมือสอง ดังนั้น เมื่ออยู่นานไปบ้านเกิดคับแคบ เช่น มีลูกเพิ่มขึ้น คุณก็สามารถย้ายไปซื้อบ้านหลังใหม่ เงินได้จากการขายบ้านได้รับยกเว้นภาษี ถ้าคุณอยู่บ้านหลังเดิมตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป และเอาเงินที่ขายไปซื้อบ้านหลังใหม่ภายในหนึ่งปีก่อนหรือหลังจากขายบ้านหลังเดิม
ฉ. ต่อไปเมื่อผู้ลงทุนอายุมากและเสียชีวิต บ้านก็ยังตกเป็นมรดกให้กับลูกหลานอีกด้วย
2. คนมีรายได้มักจะต้องเสียภาษี ดังนั้น ควรซื้อกองทุน RMF หรือกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ เท่ากับ15% ของรายได้เพื่อหักภาษี และซื้อกองทุน LTF หรือกองทุนหุ้นระยะยาวอีก 15% ของรายได้ ซึ่งกองทุนทั้งสองนี้ใช้หักภาษีได้ทั้งคู่ รวมกันลดภาษีไปได้อีก 30% การลงทุนต้องพยายามสร้างแต้มต่อคือ ใช้หักภาษีได้ เป็นเงินออม และมีผลตอบแทน กองทุน RMF และ LTF ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 3-10% แล้วแต่ประเภทที่เลือกลงทุน
3. หากมีบ้านแล้วคุณอยากลงทุนในด้านการเงิน แบ่งเงิน 20% หรือ 1 แสนบาท ไปซื้อกองทุนหุ้นจาก บลจ. คือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เช่น บลจ. ทหารไทย, บลจ. วรรณ, บลจ. ไทยพาณิชย์ หรือ บลจ. กสิกรไทย หากไม่คุ้นเคยกับ บลจ. เหล่านี้ ก็ติดต่อธนาคารพาณิชย์ได้ทุกสาขา เพราะธนาคารเป็นตัวแทนขายหน่วยลงทุน การซื้อกองทุนหุ้นแม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่ถ้าเศรษฐกิจของประเทศขยายตัวได้ดี ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนใน 5 ปี เฉลี่ยปีละ 5% ข้อดีคือ หากฉุกเฉินสามารถถอนมาใช้ได้ทุกเวลา
4. ผมแนะนำให้เอาเงินอีก 60% หรือราว 3 แสนบาท ไปซื้อหน่วยลงทุนระยะยาวตั้งแต่ 2 ปีขึ้น จาก บลจ. ซึ่งให้ผลตอบแทน 4.2-4.5% ต่อปี โดยไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากผู้ลงทุนมีเงินน้อย จึงไม่ควรเอาเงินไปเสี่ยงซื้อหุ้น ควรหลีกเลี่ยงการซื้อสลากออมสิน เพราะโอกาสถูกรางวัลยากมาก และต้องถือไว้ยาวถึง 3 ปี ทำให้เงินถูกล็อคอยู่นาน ถ้าหากไม่ถูกรางวัลเลยเมื่อครบ 3 ปี ได้คืนดอกเบี้ยเพียง1-2% ซึ่งน้อยกว่าการซื้อหน่วยลงทุนตั้งครึ่งหนึ่ง
5. เงิน 20% ที่เหลือ คือ อีก 1 แสนบาท ซื้อทองคำไว้ประมาณ 10 บาท เพราะทองคำเป็นทรัพย์สินที่มีค่า ไม่เสื่อมสลาย มีโอกาสได้กำไรปีหนึ่ง 6-8% ซื้อง่ายขายคล่อง โดยต้องซื้อจากร้านใหญ่ เช่น ฮั่วเซ่งเฮง หรือ จินฮั้วเฮง อย่าซื้อทองคำจากร้านเล็ก ๆ เนื่องจากทองคำต้องได้มาตรฐาน คือ มีเนื้อทองบริสุทธิ์ 96.5% และ 1 บาท ต้องได้น้ำหนัก 15.16 กรัม การซื้อทองจากร้านเล็ก ๆ จะได้น้ำหนักไม่ครบตามพิกัดและความบริสุทธิ์ไม่ถึง 96.5% ด้วย ต้องระวังในเรื่องนี้ แม้สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. จะมีการตรวจสอบอยู่ แต่อย่าเสี่ยงดีกว่า
เหตุที่ผมไม่แนะนำให้เอาเงินฝากธนาคารเนื่องจากได้ดอกเบี้ยต่ำมาก ประมาณ 1% และเมื่อรับดอกเบี้ยยังถูกรัฐบาลเก็บภาษีอีก 15% เหลืออยู่เพียง 0.85% คนเราควรพยายามออมทุกเดือน ดังนั้น รายได้ประจำหากมีเงินเหลือก็ฝากออมทรัพย์ไว้เพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน และเมื่อมีเงินฝากออมทรัพย์ถึง 80,000 บาทแล้ว เอาส่วนที่เกินไปลงทุนใน 3-4 แบบ ตามที่ผมกล่าวข้างต้น
ท้ายที่สุดการออมและลงทุนต้องมีวินัย ใช้ระยะเวลายาวมาก ดร. สุวรรณ เริ่มออมเงินตั้งแต่อายุ 15 ขณะนี้อายุ 61 ปีแล้ว ยังออมอยู่เป็นประจำ กว่าจะสร้างฐานะมาได้จนถึงทุกวันนี้ใช้เวลา 46 ปี
ที่มา : ดร. สุวรรณ วลัยเสถียร