10 เคล็ดลับในการช่วยลดหนี้ของคุณให้หมดได้ไวขึ้น

 

คุณสามารถปลดหนี้ได้โดยการเปลี่ยนนิสัยบางอย่าง นี่คือ 10 วิธีที่ช่วยคุณสามารถลดหนี้ได้


1. จัดทำงบประมาณเพื่อติดตามค่าใช้จ่ายของคุณ

งบประมาณสามารถช่วยให้คุณติดตามรายได้และการใช้จ่ายของคุณ และสิ่งที่คุณใช้จ่ายเงินไป การตระหนักถึงรายได้และค่าใช้จ่ายของคุณมากขึ้นสามารถช่วยให้คุณขจัดหรือลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นได้

2. อย่าเป็นหนี้เพิ่ม

ทำงานเพื่อชำระสิ่งที่คุณเป็นหนี้อยู่ก่อนที่จะเพิ่มหนี้ใหม่ หลีกเลี่ยงการซื้อที่ไม่จำเป็น การเพิ่มหนี้โดยการซื้อที่ไม่จำเป็นเมื่อคุณยังมีหนี้ที่ต้องชำระจะทำให้การจัดการหนี้ของคุณยากขึ้น

3. ชำระค่าใช้จ่ายของคุณเต็มจำนวนและตรงเวลา

การชำระเงินเต็มจำนวนและตรงเวลาจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงอัตราดอกเบี้ยที่สูงและค่าธรรมเนียมที่ล่าช้าได้ หากคุณไม่สามารถชำระเงินเต็มจำนวนได้ ให้ตั้งเป้าที่จะจ่ายมากกว่าขั้นต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมมากขึ้น

4. ตรวจสอบบิลของคุณอย่างระมัดระวัง

เมื่อคุณได้รับใบเรียกเก็บเงินและใบแจ้งยอด ตรวจสอบให้แน่ใจว่าถูกต้องและอัตราของคุณยังคงเท่าเดิม หากมีข้อผิดพลาดหรืออัตราของคุณเพิ่มขึ้นโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ โปรดติดต่อผู้ให้กู้ของคุณเพื่อแก้ไขตามนั้น

5. ชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงของคุณก่อน

หากคุณมีตั๋วเงินหลายใบที่ต้องชำระ การชำระหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมสูงสุดก่อนจะลดจำนวนเงินที่คุณค้างชำระในระยะยาว

6. ลดจำนวนบัตรเครดิตที่คุณมี

พิจารณามีบัตรเครดิตเพียงไม่กี่ใบเพื่อจัดการหนี้ของคุณ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเขามีอัตราต่ำสุดที่มีอยู่

7. มองหาอัตราดอกเบี้ยที่ดีที่สุดเมื่อรวมหนี้ของคุณ

เมื่อได้รับเงินกู้รวมหนี้จากธนาคารหรือสหภาพเครดิต คุณจะสามารถจัดการหนี้ของคุณได้ง่ายขึ้น เนื่องจากคุณชำระเงินให้กับธนาคารหรือเครดิตยูเนียนเพียงครั้งเดียว แทนที่จะชำระเงินหลายครั้งให้กับผู้ให้กู้ปัจจุบันทั้งหมดของคุณ บ่อยครั้งที่ธนาคารหรือสหภาพเครดิตอาจเสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่คุณค้างชำระ ดังนั้นควรเลือกซื้ออัตราที่ดีที่สุดก่อนที่จะรวมบัญชี

8. ติดต่อเจ้าหนี้ของคุณเกี่ยวกับแผนการชำระหนี้

พูดคุยกับบริษัทที่คุณเป็นหนี้โดยตรง พวกเขาอาจเต็มใจที่จะกำหนดตารางการชำระคืนที่เป็นจริงมากขึ้นสำหรับงบประมาณของคุณ และลดการชำระเงินรายเดือน

9. พูดคุยกับที่ปรึกษาสินเชื่อ

หากคุณต้องการความช่วยเหลือในการพัฒนาแผนการชำระหนี้ ลองพูดคุยกับที่ปรึกษาสินเชื่อ ระวังที่ปรึกษาที่อ้างว่าสามารถชำระหนี้ทั้งหมดของคุณได้อย่างรวดเร็วโดยมีค่าธรรมเนียมต่ำเพียงค่าเดียว เพราะอาจเป็นการหลอกลวง

10. ระวังตัวไว้

เมื่อคุณลดหรือชำระยอดคงเหลือของคุณแล้ว อย่าลืมป้องกันหนี้ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง พิจารณาเลิกใช้บัตรเครดิตและใช้บัตรเดบิตหรือเงินสดแทน

ทั้ง 10 วิธีนี้หากใครที่กำลังเป็นหนี้อยู่ก็ลองเอาไปประยุกต์ใช้ดูนะครับ 

7 ขั้นตอนในการจัดการและลดหนี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

หากคุณกำลังมองหาวิธีที่ดีกว่าในการจัดการหนี้ของคุณ โดยมีเป้าหมายในการกำจัดหนี้ส่วนใหญ่หรือทั้งหมด แสดงว่าคุณได้ก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว ขณะที่คุณเตรียมที่จะก้าวไปข้างหน้า จำไว้ว่าหนี้บางส่วนไม่ได้แย่ การจำนองสามารถช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายในการเป็นเจ้าของบ้านและอาจช่วยให้คุณสร้างความมั่งคั่งได้หากบ้านของคุณมีค่า มากเกินไปหรือผิดประเภท เช่น หนี้บัตรเครดิตที่มีดอกเบี้ยสูง อาจขัดขวางความสามารถของคุณในการบรรลุเป้าหมายทางการเงินอื่นๆ

วิธีจัดการหนี้สิน

 เพื่อจัดการหนี้ของคุณอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณอาจต้องพิจารณา 7ขั้นตอน ดังต่อไปนี้

1. พิจารณาบัญชีของคุณ  

สิ่งแรกก่อน: ทำรายการหนี้คงค้างทั้งหมดของคุณ รวมอัตราดอกเบี้ยในแต่ละรายการเพื่อให้คุณสามารถระบุได้ว่าอัตราดอกเบี้ยใดทำให้คุณเจ็บปวดทางการเงินมากที่สุด

 2. ตรวจสอบรายงานเครดิตของคุณ

ขอสำเนารายงานเครดิตฟรีจากหน่วยงานรายงานเครดิต วิธีนี้จะช่วยให้คุณไม่ลืมเกี่ยวกับยอดหนี้คงค้าง นอกจากนี้ คุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีบัญชีอยู่ในนั้นที่คุณไม่รู้จัก หากคุณต้องการทราบคะแนนเครดิตของคุณ ให้ตรวจสอบกับธนาคารหรือบริษัทบัตรเครดิตของคุณเพื่อดูว่าพวกเขาสามารถให้คะแนนของคุณโดยไม่มีค่าใช้จ่ายหรือไม่

 3. มองหาโอกาสในการรวมหนี้

หากคุณมีเงินกู้ดอกเบี้ยสูงหลายรายการ คุณสามารถรวมเป็นเงินกู้เดียวที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าได้หรือไม่ คุณมีสินเชื่อส่วนบุคคลดอกเบี้ยต่ำที่สามารถนำไปชำระยอดบัตรเครดิตดอกเบี้ยสูงได้หรือไม่? ก่อนที่จะรวมหรือรีไฟแนนซ์เงินกู้นักเรียน คุณควรตรวจสอบคุณสมบัติของคุณอย่างรอบคอบสำหรับโปรแกรมการให้อภัยเงินกู้ของรัฐบาลกลาง ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการรวมเงินกู้หรือการรีไฟแนนซ์

 4. ซื่อสัตย์เกี่ยวกับการใช้จ่ายของคุณ

หากหนี้ของคุณล้นหลาม ควรพิจารณาสิ่งที่คุณใช้จ่ายในแต่ละเดือนอย่างตรงไปตรงมา มีค่าใช้จ่ายที่คุณสามารถลดหรือตัดออกได้หรือไม่? ส่วนหนึ่งของการลดหนี้ของคุณคือการจำกัดหนี้เพิ่มเติมที่คุณรับ

 5. กำหนดจำนวนเงินที่คุณต้องจ่าย

เมื่อคุณรวมบัญชีแล้ว ให้กำหนดจำนวนเงินที่คุณต้องจ่ายในแต่ละเดือนโดยสังเกตการชำระเงินขั้นต่ำและใส่ยอดรวมลงในงบประมาณของคุณ หากจำนวนเงินมากกว่าที่คุณสามารถจัดการได้ในงบประมาณของคุณ คุณอาจต้องติดต่อผู้ให้กู้เพื่อดูการจัดเตรียมเงื่อนไขต่างๆ 

6. คิดออกว่าคุณสามารถเพิ่มงบประมาณได้มากแค่ไหน

เมื่อคุณมีข้อมูลพื้นฐานแล้วว่าคุณต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนเท่าใดในแต่ละเดือนในงบประมาณของคุณแล้ว ให้กำหนดว่าคุณสามารถใช้งบประมาณเพิ่มเติมจากการลดหนี้ได้มากเพียงใด หวังว่าค่าใช้จ่ายที่คุณลดลงจะทำให้คุณมีเงินเหลือเฟือเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ 

7. กำหนดกลยุทธ์การลดหนี้ของคุณ

วิธีที่คุณโจมตีหนี้ของคุณขึ้นอยู่กับคุณ สองกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการชำระยอดคงเหลือที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงสุดก่อน หรือเพื่อชำระยอดคงเหลือที่ต่ำที่สุดก่อน แบบแรกจะช่วยให้คุณประหยัดเงินได้มากขึ้นในระยะยาว แต่วิธีหลังจะช่วยให้คุณรักษาโมเมนตัมและเห็นความคืบหน้าได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด คุณกำลังก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้อง ดังนั้นให้ปฏิบัติตามแผนของคุณ!

ไขข้อสงสัยกับสินเชื่อส่วนบุคคล คืออะไร? เหมาะกับใคร?

 

ไขข้อสงสัยและเรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับสินเชื่อส่วนบุคคลกับบัตรกดเงินสด


หลายคนมักเข้าใจผิดว่าสินเชื่อส่วนบุคคลกับบัตรกดเงินสดว่าเป็นสินเชื่อคนละประเภท ซึ่งความเป็นจริงทั้งคู่ก็ถูกจัดอยู่ในสินเชื่อส่วนบุคคลเหมือนกัน แต่ต่างตรงที่มีบัตรกับไม่มีบัตร แล้วสินเชื่อส่วนบุคคลแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ใครที่สามารถขอกู้สินเชื่อส่วนบุคคลพรอมิสได้ คนที่กำลังสงสัยเราไปหาคำตอบพร้อมกันครับ

สินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีบัตร

เป็นสินเชื่อส่วนบุคคลเงินกู้อเนกประสงค์ที่สามารถนำไปใช้ได้หลากหลายตามความต้องการ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผ่านการอนุมัติแล้วสินเชื่อส่วนบุคคลพรอมิสจะโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารโดยตรง ไม่ต้องใช้บัตรกดเงินสด สามารถใช้จ่ายหรือโอนผ่านแอพธนาคารต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องเสียเวลาไปกดเงินจากตู้ ATM อีกทั้งลูกค้ายังสามารถขอรับบริการหักชำระผ่านบัญชีเงินเดือนได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะลืมชำระรายเดือน และยังสามารถวางแผนการชำระเงินได้ จึงทำให้คุณลูกค้ามีประวัติทางการเงินที่ดีอีกด้วย

สินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีบัตร หรือ บัตรกดเงินสด

เป็นสินเชื่อส่วนบุคคลประเภทหนึ่งที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความสะดวกสบายแก่ลูกค้า ด้วยการใช้บัตรเพื่อกดเงินสดออกจากตู้ตามจุดให้บริการต่างๆ แต่ในปัจจุบันคนหันมาใช้บริการผ่านแอพธนาคารมากยิ่งขึ้น ทำให้บัตรกดเงินสดไม่สะดวกสบายเหมือนแต่ก่อน อีกทั้งยังสร้างความยุ่งยากมากยิ่งขึ้นให้กับผู้ใช้งาน โดยเฉพาะเวลาต้องการนำเงินเข้าบัญชีธนาคารหรือโอนเงินสด นอกจากนี้อาจโดนเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากการกดเงินสดแต่ละครั้ง และถ้าหากไม่มีวินัยทางการเงินที่ดีพอ อาจก่อให้เกิดหนี้สะสมโดยไม่รู้ตัว

สินเชื่อส่วนบุคคลพรอมิสเหมาะกับใคร

ดังนั้นเมื่อคุณลูกค้ามีเหตุจำเป็นที่ต้องใช้เงินก้อน ขอแนะนำสินเชื่อส่วนบุคคลพรอมิส ด้วยลักษณะเด่นของสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือคนค้ำประกัน คิดดอกเบี้ยตามจำนวนวันที่ใช้จริง แบบลดต้นลดดอก สามารถชำระขั้นต่ำ จะจ่ายน้อยจ่ายมากก็สามารถทำได้ตามต้องการ สามารถกู้เพิ่ม ใหม่กี่ครั้งก็ได้ภายในวงเงินสัญญา หรือขอเพิ่มวงเงิน ได้เมื่อมีความจำเป็น สามารถปิดบัญชีก่อนกำหนดได้ โดยไม่ต้องเสียค่ายกเลิกสัญญา สินเชื่อส่วนบุคคลพรอมิสจึงเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ตอบโจทย์สำหรับคนที่มีรายได้มั่นคง มีประวัติทางการเงินที่ดีและมีความสามารถในการจ่ายคืน

คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น โอกาสรวยจากการถูกหวยเป็นไปได้จริงกี่เปอร์เซ็นต์?

 

ไขข้อข้องใจทำไมผู้คนส่วนมากถึงชอบเล่นหวยแม้เป็นการเสี่ยงดวง ที่เราไม่สามารถควบคุมได้


ในวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน ต่างเป็นวันที่นักเสี่ยงดวงรอคอย ยอมสละงานตรงหน้าในชั่วขณะเพื่อลุ้นว่าจะถูกหวยรางวัลที่ 1 ประจำงวดนี้ไหม หรือใครจะเป็นผู้โชคดี แล้วรางวัลที่ 2 หรือ 5 จะมีโอกาสบ้างหรือเปล่า จะออกเลขอะไร ใช่เลขที่ฝันเอาไว้เมื่อคืนหรือไม่ หรือออกเลขตามเลขเด็ดเลขดังของสำนักใบ้หวย

เพราะมนุษย์คิดว่าตนเองจะมีโอกาสถูกหวยรางวัลที่ 1 จึงไม่สนใจมองโอกาสที่แท้จริงที่จะเกิดขึ้นเกี่ยวกับซื้อหวย แต่เงินติดล้อก็เข้าใจดีว่า การมีความหวังว่าจะถูกหวย ที่เป็นฝันลมๆ แล้งๆ ช่วยเพิ่มพลังชีวิตที่แสนจะเหี่ยวเฉา ที่ไม่มีความสุขในชีวิตให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้บ้างจากการลุ้นรางวัล

เพราะฝันลมๆ แล้งๆ ที่ว่านี่ล่ะครับ จึงมีนักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่งชื่อว่า Sunstein ได้ให้เหตุผลของพฤติกรรมของมนุษย์ที่ชอบเล่นหวยเอาไว้ว่า “มนุษย์เชื่อว่ามีโอกาสถูกหวยมากกว่าโอกาสที่แท้จริง”

โอกาสที่แท้จริงจากการซื้อหวยที่ถูกนักเสี่ยงดวงมองข้าม

เวลาได้เลขเด็ดเลขดังมาจากสำนักใบ้หวย หรือฝันว่าโดนงูกัด ฝันว่ารถหาย หลายคนก็จะนำความฝันนี้มาตีเป็นตัวเลขเพื่อเสี่ยงโชคเสี่ยงดวง เพราะคิดไว้ว่ามีคนให้โชคขนาดนี้โอกาสถูกหวยมาถึงแล้ว แต่อาจจะลืมนึกถึงโอกาสที่แท้จริงในการซื้อหวย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดครับ เพราะคนเราต้องมีความหวัง

เพื่อให้เข้าใจคำว่า “โอกาสแท้จริงจากการซื้อหวย” ลองนึกภาพตามว่า ในแต่ละงวดของการเล่นหวยรัฐบาล หรือลอตเตอรี่จะมี 1 ล้านตัวเลขต่อ 1 งวด ตั้งแต่ 00000 ไปจนถึง 999999 และจำนวน 1 ล้านเลขต่อ 1 งวด มีโอกาสถูกหวยเพียงแค่ 14,000 กว่าเลขเท่านั้น ซึ่งถ้าโชคหล่นทับ 1 ใน 14,000 ต้องเป็นของเราแน่ๆ

นี่คือโอกาสที่แท้จริงของการซื้อหวยที่ถูกมองข้ามไป!

โอกาสถูกหวยคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ต่องวด

“เมื่อคืนฝันเห็นงูตัวใหญ่ๆ เลื้อยเข้ารถป้ายแดงที่เพิ่งซื้อมา” หรือ “เมื่อคืนพ่อทิดล้อใบ้หวยให้ตอนจุดธูปเสร็จ มาแน่ๆ 92 มาแน่ๆ” สิ่งเหล่านี้เป็นโอกาสถูกหวยที่นักเสี่ยงดวงคิดคำนวณด้วยตัวเอง เพราะซื้อเลขที่ฝันมาแล้ว เก็งเลขมาแล้วยังไงก็ออกเพราะตามจากงวดที่แล้ว โอกาสถูกหวยมีมากถึง 50% เพราะมั่นใจมากๆ

แต่จำนวนหวยทั้งหมดที่มี 1 ล้านเลข แต่โอกาสถูกหวยมีเพียง 14,000 เลข ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จะได้เท่ากับ 1.41%นี่เป็นโอกาสถูกหวยที่น้อยมากๆ แต่ถ้าถูกหวยรางวัลที่ 1 โอกาสถูกหวยก็จะโดนหารลงไปอีก เพราะ 1.41% เป็นจำนวนหวยทั้งหมดที่จะออกในงวดนั้นๆ รางวัลที่ 1 มี 1 เลข ยังไงก็น้อยกว่า 1.41% แน่นอน นี่คือโอกาสถูกหวยที่แท้จริงและจะเกิดขึ้นจริงในแต่ละงวดครับ!


เงินไม่พอใช้เลยอยากถูกหวยรางวัลที่ 1 เพื่อใช้หนี้?!

การเล่นหวยคือการเสี่ยงโชค ถ้าโชคหล่นทับก็ได้นับเงินล้าน แต่ถ้าโชคไม่ดีก็ต้องสร้างโชคใหม่เสียงดวงไปเรื่อยๆ ในทุกงวดจนกว่าวันนั้นที่รวยด้วยหวยการเป็นเศรษฐีพันล้านมาถึง แต่การเล่นหวยที่ไร้โชคไปเรื่อยๆ ด้วยความสนุกปนความหวัง นานวันเข้าจะนำมาซึ่งหนี้สินมาให้มากกว่าการได้เงินเพื่อนำไปชดใช้หนี้

เงินติดล้อมีโอกาสได้คุยกับคุณลุงท่านหนึ่ง อายุ 60 ปีใกล้เกษียณเต็มแก่ ทำอาชีพพนักงานรักษาความปลอดภัย และเป็นเสาหลักของครอบครัวที่คอยส่งเงินให้ทางบ้านตลอดเวลามีลูกชาย 1 คนกำลังจะก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ต้องใช้เงินจำนวนมาก เมื่อเงินไม่พอใช้จึงเริ่มกู้เงินนอกระบบ กู้จนไม่สามารถกู้กับใครได้อีก

คิดไปคิดมาจึงหาทางออกคือเสี่ยงโชคอย่างการซื้อหวย จากที่เล่นหวยเพื่อลุ้นเล่นๆ เสี่ยงโชคเสี่ยงดวงเพื่อความบันเทิง กลายเป็นตั้งใจซื้อหวยเพื่อให้ได้รางวัลแล้วจะได้นำเงินรางวัลมาหมุนต่อในชีวิต เล่นเพื่อให้ถูกรางวัลเพื่อจะนำเงินมาใช้หนี้ แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าติดหนี้เจ้ามือหวย


ซื้อหวยเพื่อถูกรางวัลแล้วใช้หนี้มีจริง แต่โอกาสน้อย!

กว่าจะรวยด้วยหวยต้องซื้อหวยไปกี่บาท

เมื่อการเล่นหวยไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่เป็นการเดิมพันเพื่อชีวิต จากเล่นหวยทีละนิดน้อย จนค่อยๆ ซื้อเป็นลอตเตอรี่ทั้งชุดบ้าง เล่นหวยออนไลน์บ้าง ปนๆ กันไป พอคุยไปคุยมา เงินติดล้อจึงได้ทราบว่า คุณลุงท่านนั้นเล่นหวยตั้งแต่อายุ 20 จนปัจจุบัน ตกงวดละ 3,000 บาท เมื่อลองคิดเงินทั้งหมดที่ใช้เล่นหวยคือ

6,000 (ค่าหวยต่อเดือน) x 12 (ระยะเวลาต่อปี) x 40 (ระยะเวลาที่เล่นหวยมา) = 2,880,888 บาท

จำนวนเงินทั้งหมดที่คุณลุงใช้เล่นหวยมาตลอดระยะเวลา 40 ปี คิดเป็นเงินเกือบๆ 3 ล้านบาท หมายความว่าคุณลุงได้จับเงินล้านมาตลอด แต่เงินทั้งหมดถูกนำไปลงที่การซื้อหวยเพราะคิดว่าโอกาสถูกหวยรางวัลที่ 1 อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม แล้วจะได้นำเงินไปใช้หนี้ทั้งหมด แต่ทุกอย่างกลับผิดคาด เพราะไม่ได้คิดถึงโอกาสที่แท้จริง

แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะมีชีวิตย่อมมีหวังเป็นธรรมดา การคาดหวังให้ตนเองถูกหวยสักครั้งในชีวิตเพื่อจะได้มีฐานะที่ดีขึ้น ได้ใช้หนี้ที่มีอยู่คือทางออกที่รวดเร็ว แต่ก็ต้องแลกมากับการเสี่ยงดวง ซึ่งถ้าคนโชคไม่ดี ก็จะกลายเป็นหนี้หวยไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเลิกเล่นหวยในที่สุด ดังนั้น เล่นหวยให้พอกระชุ่มกระชวยหัวใจจะดีกว่า

วิธีซื้อหวยให้โชคดี ทำยังไงให้ถูกหวย

ไม่มีใครตอบได้เลยครับ เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของ “โชคของคนดวงดี” ล้วนๆ เลย เราไม่สามารถบังคับฟ้าฝนให้เป็นได้ดั่งใจต้องการฉันใด เราก็ไม่สามารถซื้อหวยให้ถูกได้ตลอดไปฉันนั้น อ้างอิงกับเปอร์เซ็นต์ที่จะถูกหวยถึง 1.41% เรียกว่าเป็นไปได้ยากจริงๆ

เช่นเดียวกับคุณลุงท่านนั้นที่เมื่อรู้ตัวว่าหมดเงินกับหวยไปเกือบ 3 ล้านบาท ก็เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงิน จากทุ่มเทให้กับหวยไปหมดหน้าตัก ค่อยๆ เล่นให้น้อยลง เล่นเอาบันเทิงหัวใจ แล้วเปลี่ยนเป็นออมเงินให้มากขึ้น กลายเป็นว่ามีเงินออมในเร็ววัน ไม่ต้องหวังพึ่งโชคเหมือนที่เคยทำ

โอกาสถูกหวยน้อยมาก แต่อยากถูกหวยใช้หนี้ ต้องแทงกับตัวเอง

เมื่อไหร่ก็ตามที่มีเลขเด็ดเลขดัง หรือเอาความฝันมาตีเป็นเลขหวย ถ้าอยากซื้อหวยลองจดเลขใส่กระดาษ แล้วไม่ต้องไปแทงกับใคร แทงเลขนั้นกับตัวเอง ให้เรากลายเป็นเจ้ามือตัวเองอีกทีหนึ่ง เช่น เลข 92 จะเล่นเท่าไหร่ เลข 674 จะแทงเท่าไหร่ แล้วก็รอวันที่หวยจะออกจึงตรวจรางวัลกับเลขที่ซื้อเอาไว้

ถ้าถูกก็เอาเงินมาใช้จ่ายในชีวิต หรือซื้อของที่อยากได้ เพราะนี่เป็นเงินที่ได้จากการถูกหวย แต่ถ้าไม่ถูกก็นำเงินทั้งหมดที่แทงหวยกับตัวเองไปใส่บัญชีเงินฝากกับธนาคาร เพื่อให้เราได้มีเงินเก็บ แต่ถ้าวิธีแทงกับตัวเองยังไม่หนำใจไม่ตื่นเต้น เปลี่ยนไปซื้อสลากออมทรัพย์ก็เข้าท่า เพราะได้ทั้งดอกเบี้ยและได้ลุ้นรางวัลในทุกงวด!

คุณผู้อ่านลองพิจารณาดูเอาเองนะครับว่าจะรวยจากการถูกหวยได้อย่างไร ?

เมื่อคนประกอบอาชีพอิสระ ต้องการกู้เงินด่วน แบบไม่มีสลิปเงินเดือน ที่ไหนได้บ้าง?

 

เมื่อคนประกอบอาชีพอิสระ ต้องการกู้เงินด่วน แบบไม่มีสลิปเงินเดือน ที่ไหนได้บ้าง?

เงินด่วน กู้เงิน

หลังจากที่เพิ่งผ่านพ้นช่วงเทศกาลสำคัญอย่าง คริสต์มาส หรือ ปีใหม่มาได้ไม่นาน นอกจากการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีแล้ว เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะมีค่าใช้จ่ายจำเป็นหลายอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงสิ้นปีที่มาผ่าน

การปล่อยให้สภาพทางการเงินติดขัดตั้งแต่ในช่วงต้นปีนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ ยิ่งกับพ่อค้าแม่ค้า หรือ งานขายของออนไลน์ ที่ต้องใช้เงินสำหรับการลงทุนแล้ว ปัญหา เงินช็อต นั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องจัดการให้ได้โดยไว

แต่การจะไปหา เงินด่วน หรือ เงินก้อน นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เช่นกัน โดยเฉพาะสำหรับ อาชีพอิสระ ฟรีแลนซ์ หรือคนที่ทำงานรับจ้างรายวัน รายชั่วโมงที่ ไม่มีสลิปเงินเดือน

เงินด่วนนอกระบบ ทางเลือกที่ไม่ควรแตะต้อง

สำหรับคนที่ทำธุรกิจ, มีกิจการ หรือพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลาย ปัญหาเงินช็อตนั้นอาจจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่ว่าจะช็อตแค่ไหน ก็ไม่ควรไปพึ่งพา เงินด่วนนอกระบบ

เพราะถึงแม้ว่า เงินด่วนนอกระบบจะกู้ผ่านง่าย และได้เงินไว แต่ก็ต้องแลกมาด้วย อัตราดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม และที่สำคัญคือ ไม่มีกฏหมายคุ้มครอง ทำให้ลูกหนี้อาจได้รับความไม่เป็นธรรมจากสัญญาได้

สิ่งที่คนทำธุรกิจอย่างเราต้องตระหนักไว้อย่างมากเลยก็คือ ดอกเบี้ยที่ต้องเสียไปกับเงินด่วนนอกระบบนั้น คุ้มค่ากับการนำมาหมุน หรือแก้ไขปัญหาเงินช็อตในระยะสั้นหรือไม่


ไม่มีสลิปเงินเดือน หาเงินด่วน แบบถูกกฏหมายที่ไหนดี

ปัจจุบัน เงินด่วนแบบถูกกฏหมาย จากสถาบันการเงินนั้น ได้มีการออกสินเชื่อมาหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้เหมาะกับความต้องการของผู้กู้ และที่สำคัญคือมี อัตราดอกเบี้ย ที่เป็นธรรมและเป็นไปตาม ของธนาคารแห่งประเทศไทย

เงินสด ทันใจ ไม่มี สลิป เงินเดือน

เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีไม่น้อย สำหรับผู้ที่มีบัตรอยู่แล้วนั้นสามารถกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มได้ทันที และสำหรับผู้ที่ยังไม่มีบัตร ปัจจุบันก็สามารถสมัครแบบไม่ต้องใช้เอกสารสลิปเงินเดือนได้ และใช้ระยะเวลาอนุมัติไม่นาน ขึ้นกับนโยบายการของแต่ละสถาบัน

สินเชื่อส่วนบุคคล

ปัจจุบันธนาคารต่างๆ ก็ได้มีการปรับสินเชื่อส่วนบุคคลให้เหมาะสำหรับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า ฟรีแลนซ์หรือพนักงานรายวันมากขึ้น โดยสถาบัน

การเงินบางแห่งสามารถให้ขอสินเชื่อได้แบบไม่ต้องมีสลิปเงินเดือน หรือเอกสารประกอบ

รวมถึงมีบริการยื่นขอสินเชื่อผ่าน แอปพลิเคชัน ของสถาบันการเงิน ทำให้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น แต่ทั้งนี้แล้วก็ต้องขึ้นอยู่กับวงเงินของผู้กู้และการพิจารณาตามความเหมาะสมจากธนาคารด้วยเช่นกัน

สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ

สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ เป็นสินเชื่อที่ใช้รถมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการกู้ ทำให้ดอกเบี้ยไม่แพง, อนุมัติไว และเหมาะกับคนที่ไม่มีรายได้ประจำ

สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ทางเลือกดีๆ ที่ไม่ต้องใช้คนค้ำ และไม่ต้องโอนเล่ม

สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ เป็นอีกหนึ่งสินเชื่อสำหรับคนมีรถ ที่เหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่มีปัญหา เงินช็อต หรือคนที่มองหา เงินด่วน ในระยะสั้น โดยเฉพาะกับเจ้าของกิจการ หรือพ่อค้าแม่ค้า ที่ต้องการเงินหมุนสักก้อน เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่นไม่มีสะดุด

ซึ่งสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจากเงินติดล้อ นั้นเป็นสินเชื่อเงินด่วนที่ อนุมัติไว, ถูกกฏหมาย และมีอัตราดอกเบี้ยแบบ ลดต้นลดดอก

ข้อดีของดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกก็คือ เมื่อคุณมีความพร้อมทางการเงินเมื่อไหร่ ก็สามารถโปะเงินเพื่อลดดอกเบี้ย หรือปิดบัญชีได้ทันที รวมถึงมีความยืดหยุ่น และที่สำคัญสำหรับคนรักรถ คือ ไม่จำเป็นต้องโอนเล่ม ทำให้คุณอุ่นใจได้มากขึ้น


ขอบคุณบทความจาก tidlordotcom

เทคนิคง่าย ๆ ในการวางแผนการเงินด้วยตัวเอง

 

การต่อสู้เพื่ออิสรภาพทางการเงินนั้นไม่ยุติธรรม ไม่ว่าคุณจะพยายามหมุนแบบไหน เส้นทางสู่ชีวิตที่สะดวกสบายก็ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้หรือยาวเกินไปที่จะลอง


หลายคนในทุกวันนี้ใช้จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อไปหานักวางแผนทางการเงินมืออาชีพเพื่อขอคำแนะนำในการควบคุมสถานการณ์ทางการเงิน แต่เอาจริง ๆ ในขณะที่นักวางแผนทางการเงินสามารถแสดงให้คุณเห็นถึงวิธีจัดลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายและวิธีรวมหนี้ของคุณ แน่นอนว่าต้องมีวิธีในการวางแผนการเงินของคุณโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการไปพบผู้เชี่ยวชาญ

บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเปิดใจให้กับความจริงที่ว่าคุณสามารถวางแผนการเงินของคุณได้อย่างเหมาะสมจากความสะดวกสบายในบ้านของคุณเอง

เป้าหมายหลักในการวางแผนการเงินคือการทำให้ทุกอย่างง่ายที่สุด ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการจมอยู่ในภาวะซึมเศร้าจนคุณมองไม่เห็นทางออก ไม่ว่าคุณจะเป็นหนี้อยู่และกำลังมองหาทางออก หากคุณแค่มองหาวิธีเก็บเงินไว้ใช้จ่ายในแต่ละเดือน ยิ่งคุณวางแผนได้ง่ายกว่า ผลลัพธ์ที่คุณจะได้รับก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น จากจุดเริ่มต้นคุณต้องเป็นจริง

เราเริ่มต้นด้วยตัวอย่างสถานการณ์รายได้รายเดียว ก่อนอื่นคุณต้องคำนวณว่ารายได้สุทธิของคุณเป็นเท่าใดต่อเดือน หากคุณประกอบอาชีพอิสระหรือไม่ได้รับค่าจ้างปกติ ให้คำนวณสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเสมอ ค่าต่ำสุดที่คุณอาจได้รับคือเท่าใด

จากนั้นอ่านค่ารายเดือนของคุณและจดรายการที่เป็นจำนวนเงินที่แน่นอน ทำเช่นเดียวกันสำหรับตั๋วเงินอื่นๆ ทั้งหมด แต่ใช้สถานการณ์ที่แย่ที่สุดอีกครั้ง ค่าประมาณของคุณมากที่สุดที่ใบเรียกเก็บเงินเหล่านั้นอาจเป็นเท่าใด บวกทุกอย่างแล้วลบออกจากยอดรวมของรายได้สุทธิของคุณ

ต่อไปเป็นค่าใช้จ่ายบังเอิญที่คุณอาจพบเป็นรายเดือน สิ่งเหล่านี้อาจรวมถึงน้ำมัน ค่าบำรุงรักษารถ ค่าโดยสารสาธารณะ อาหาร ฯลฯ ให้เขียนรายการค่าใช้จ่ายเล็กน้อยทั้งหมดที่คุณอาจต้องใช้ในเดือนหนึ่ง แม้แต่สิ่งที่คุณไม่แน่ใจว่าคุณอาจต้องซื้อ อย่าเพิ่มเงินที่ใช้ไปทั่วไปในรายการให้เฉพาะเจาะจง ให้เพิ่มยอดรวมเสมอหากคุณไม่แน่ใจ เพราะคุณสามารถปรับแต่งได้ในภายหลัง อีกครั้ง ให้ลบยอดรวมของคุณออกจากเงินที่เหลือจากใบเรียกเก็บเงินของคุณ ไม่ต้องกังวลหากคุณเข้าสู่ตัวเลขเชิงลบที่นี่ เราสามารถแก้ไขได้

เมื่อคุณมีค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อหน้าคุณ เห็นได้ชัดว่าเงินที่เหลือคือกำไรของคุณสำหรับเดือนนั้น ในกรณีที่คุณไม่เหลืออะไรเลยหรืออยู่ในค่าลบ ขั้นตอนต่อไปคือการลดค่าใช้จ่ายของคุณ

ค่อนข้างตรงไปตรงมาใช่มั้ย? ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจไม่จำเป็น ให้ลบออก และค่าใช้จ่ายใดๆ ที่คุณรู้ว่าคุณจะต้องมี เช่น ค่าอาหารและค่าน้ำมัน ให้ลดค่าใช้จ่ายลงเหลือน้อยที่สุด คุณจำเป็นต้องใช้เงินกับพวกเขามากแค่ไหน? 

เป้าหมายของคุณควรประหยัดเงินอย่างน้อย 500-1,000 บาทต่อเดือนหลังจากใช้จ่ายเงิน ทั้งหมดนี้สร้างขึ้นและให้เงินสดย่อยแก่คุณเมื่อสิ้นเดือน!

หากคุณอยู่ในสถานการณ์ที่มีรายได้หลายทาง กระบวนการเดียวกันก็มีผลบังคับใช้ คุณต้องเริ่มสร้างกระป๋องเงินสดย่อยนั้น จะมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดเสมอ ทุกคนรู้ดี อันที่จริง พื้นฐานของการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายคือความรู้ที่คุณสามารถจ่ายได้สำหรับสิ่งที่ไม่คาดคิด

ในการดำเนินการให้เสร็จสิ้น ทั้งหมดนี้สามารถทำได้บนกระดาษแผ่นเดียว หากคุณต้องการใช้เวลาเพียงเล็กน้อย หรือจะจัดวางทั้งหมดบนสเปรดชีต Excel วิธีที่ประหยัดเวลาได้มากที่สุดคือการใช้โปรแกรมซอฟต์แวร์การวางแผนทางการเงิน คุณป้อนตัวเลข และโปรแกรมจะให้โปรแกรมวางแผนรายเดือนอัตโนมัติแก่คุณ

ไม่ว่าคุณจะเลือกไปทางไหน อย่าลืมทำให้มันง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อคุณทำตามแผน ความกดดันที่มีต่อคุณจะลดลง จะมีอะไรอีกบ้างในการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย?

แนวคิดการเก็บออมเงิน เพื่ออนาคตที่ดีของคุณ

 

เราทุกคนเรียนรู้ว่าเราควรประหยัดเงิน แต่สิ่งที่พูดง่าย ๆ อาจเป็นสิ่งทำได้ยากจริง ๆ

Image by Rudy and Peter Skitterians from Pixabay 

การออมเงินเป็นพื้นฐานของการสร้างอนาคตทางการเงินของคุณ อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคจำนวนมากเลิกใช้อีกหนึ่งวัน วันเหล่านั้นเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเป็นปีของการสูญเสียเงิน หากไม่มีการออม โอกาสในการบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวและบรรลุความมั่นคงทางการเงินนั้นค่อนข้างน้อย

เพื่อประหยัดเงิน คุณต้องควบคุมการเงินของคุณ การออมไม่เกี่ยวอะไรกับเงินที่คุณหามาได้ มันมีทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับวิธีที่คุณควบคุมเงินของคุณ หากคุณมีหนี้บัตรเครดิตจำนวนมากและต้องจ่ายเงินสดเพื่อจ่ายเช็ค คุณจะไม่สามารถควบคุมเงินของคุณได้ และคุณไม่ได้ออมเพื่ออนาคตเช่นกัน

คุณต้องใช้จ่ายน้อยลงและประหยัดมากขึ้น ทั้งสองผูกเข้าด้วยกัน เพื่อประหยัดคุณต้องเริ่มใช้จ่ายน้อยลง

และมันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นหากคุณเพิ่งเริ่มทำ

ขั้นแรก ให้นั่งลงและจดเป้าหมายทางการเงินของคุณ แค่ถามตัวเองว่าคุณต้องการอะไรจากเงินของคุณ บางทีคุณอาจต้องการเงินดาวน์สำหรับบ้านหลังแรกของคุณ บางทีคุณอาจต้องการรถใหม่ กำหนดเป้าหมายระยะยาว เช่น การเกษียณอายุ และเป้าหมายระยะสั้น เช่น เฟอร์นิเจอร์ห้องนั่งเล่นใหม่

ให้แต่ละเป้าหมายเป็นจำนวนเงินและกรอบเวลา เพื่อประหยัด คุณต้องรู้ว่าคุณกำลังออมเพื่ออะไร คุณต้องมีเหตุผลที่จะนำเงินของคุณไปไว้ข้างๆ

คุณจะต้องตั้งค่าบัญชีออมทรัพย์แยกต่างหาก คุณคงรู้ว่าการฝากเงินไว้ในเช็คของคุณนั้นใช้ไม่ได้ผล — คุณจะต้องจ่ายมัน มีบัญชีออมทรัพย์ที่คุณสามารถฝากหรือโอนเงินเข้าได้อย่างง่ายดาย ธนาคารหลายแห่งจะตั้งค่าการถอนอัตโนมัติไปยังเงินออมของคุณในแต่ละเดือน นี่เป็นวิธีที่ง่ายในการตั้งค่าและลืมมันไป จ่ายเหมือนบิลอื่นๆ

เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะเห็นว่าเงินของคุณเริ่มเติบโต นี่เป็นสิ่งที่คุ้มค่าและน่าตื่นเต้น คนส่วนใหญ่มีแรงจูงใจในการออมมากขึ้น การออมและการลงทุนอาจทำให้เสพติดในทางที่ดี

คุณจะพบว่างบประมาณที่เป็นลายลักษณ์อักษรนั้นเกือบจะจำเป็นต่อการประหยัดเงิน คุณจำเป็นต้องรู้ว่าเงินของคุณไปอยู่ที่ใดเพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้จ่ายของคุณ งบประมาณไม่เพียงแต่บอกคุณว่าคุณใช้จ่ายที่ใด แต่ยังช่วยให้คุณวางแผนการใช้จ่ายได้อีกด้วย รวมแผนลดหนี้ลงในงบประมาณของคุณและงบประมาณของคุณจะใช้ประโยชน์สูงสุดจากเงินดอลลาร์ของคุณ การจัดงบประมาณเป็นเรื่องง่ายและไม่ต้องการให้คุณสละชีวิตทั้งหมด มันเป็นเพียงแผนเพื่อไปยังที่ที่คุณจะไป

หากคุณมีหนี้บัตรเครดิตเป็นจำนวนมาก คุณควรเน้นการใช้เงินออมเพื่อขจัดหนี้นั้น เป็นการดีที่จะเก็บเงินไว้เล็กน้อยสำหรับกรณีฉุกเฉิน แต่เงินส่วนใหญ่ที่คุณกำลังออมอยู่ในขณะนี้จะต้องเป็นหนี้ของคุณ เหตุผลก็ง่ายๆ ทำไมต้องจ่ายดอกเบี้ย 20% สำหรับหนี้บัตรเครดิตในเมื่อเงินออมของคุณได้รับดอกเบี้ย 2% ถึง 10% คุณใช้จ่ายเกินความจำเป็น ล้างหนี้บัตรเครดิตก่อน จะช่วยให้คุณประหยัดมากขึ้นในระยะยาว

ผู้คนจำนวนมากเพิ่มเงินออมโดยนำเงินที่ไม่คาดคิดไปไว้ในบัญชีออมทรัพย์ โบนัส การเพิ่มเงิน การขอคืนภาษี และค่าล่วงเวลาสามารถช่วยเพิ่มเงินออมของคุณได้จริงๆ คุณไม่ต้องใช้จ่ายน้อยลงหรือลดน้อยลง แต่คุณเห็นว่ายอดเงินในบัญชีของคุณเพิ่มขึ้น

ไม่มีความลับที่แท้จริงในการประหยัดเงิน คุณเพียงแค่ต้องเริ่มทำมัน นั่นมักจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุด — ก้าวแรก แต่เมื่อคุณเห็นว่าการเงินของคุณเริ่มเปลี่ยนแปลงและความสนใจเริ่มทำงานให้กับคุณ คุณจะติดใจกับการออมเพื่ออนาคตของคุณ

เท่าไหร่ถึงจะพอ? หลังจากวันที่คุณเกษียณอายุ: คุณต้องใช้เงินในการดำรงชีวิตอีกเท่าไหร่?

 

 หลายคนจินตนาการถึงอนาคตที่มั่นคงเมื่อถึงวัยเกษียณ

Image by Gerd Altmann from Pixabay 

อย่างไรก็ตาม มีเพียงไม่กี่คนที่คำนวณจำนวนเงินโดยประมาณที่พวกเขาต้องตีกระสอบอย่างมีความสุข เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้เครื่องคำนวณการเกษียณอายุ

ด้วยเครื่องคำนวณการเกษียณอายุ คุณสามารถคาดการณ์จำนวนเงินที่น่าจะเป็นที่คุณจะได้รับเมื่อเกษียณอายุได้อย่างง่ายดาย ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถวางแผนการออมที่จำเป็นอย่างง่ายดายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามจำนวนที่คุณต้องการในอนาคต

ทำความรู้จักกับจำนวนเงินออมที่ต้องการเพื่อคำนวณได้อย่างง่ายดายจากการลงทุนรายปี จากตรงนั้น คุณสามารถทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ทำได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การคำนวณนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการอย่างมาก ไม่ได้หมายความว่าการใช้เครื่องคำนวณการเกษียณอายุจะรับประกันอนาคตของคุณเสมอไป นี่คือรายการสิ่งที่คุณต้องพิจารณาเมื่อใช้เครื่องคำนวณการเกษียณอายุ:

1. อายุปัจจุบันของคุณและอายุเกษียณที่คุณต้องการ

สิ่งนี้จะส่งผลอย่างมากต่อผลลัพธ์ในเครื่องคำนวณการเกษียณอายุ ปีที่มีอยู่ตั้งแต่อายุปัจจุบันจนถึงอายุเกษียณที่คุณต้องการจะเป็นตัวกำหนดจำนวนเงินออมที่คุณต้องสะสมเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเวลาเหลือน้อยในการออม เครื่องคำนวณการเกษียณอายุของคุณจะบอกคุณว่าให้ลงทุนเงินมากขึ้นหากคุณต้องการเกษียณโดยมีเงินจำนวนมาก

2. อายุขัย

อายุขัยคาดหมายของคุณจะส่งผลต่อผลลัพธ์ในเครื่องคิดเลขของคุณด้วย

3. อัตราเงินเฟ้อ

4. การเบิกจ่ายประกันสังคมทั้งหมด

5. อัตรา ROI (ผลตอบแทนจากการลงทุน)

นี่เป็นเพียงปัจจัยบางประการที่คุณต้องพิจารณาเมื่อใช้เครื่องคำนวณการเกษียณอายุ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะมีผลกระทบต่อผลลัพธ์ของแต่ละบุคคล ในท้ายที่สุด ผู้คนมักจะผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันและคาดว่าจะมีข้อผิดพลาดในการคำนวณ

ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินแนะนำวิธีแก้ปัญหาที่เป็นไปได้เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนและข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในการใช้เครื่องคำนวณการเกษียณอายุ นี่คือวิธี:

1. ระมัดระวังในการเลือกปัจจัย

บางคนมักจะเลือกปัจจัยบางอย่างเมื่อใช้เครื่องคำนวณการเกษียณอายุ ข้อผิดพลาดจำนวนมากในการเลือกจะส่งผลเสียต่อผลลัพธ์อย่างชัดเจน

ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องระมัดระวังในการเลือกปัจจัยเฉพาะ พยายามให้เบี้ยเลี้ยงด้วย

ตัวอย่างเช่น หากคุณจะใช้ "อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน" จะดีกว่าถ้าคุณจะใช้อัตราที่ต่ำกว่าอัตราปัจจุบันหรือแม้แต่อัตราที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ สิ่งเหล่านี้จะไม่ทำให้การคำนวณของคุณถูกมองในแง่ลบ

2. อย่าหยุดที่การคำนวณเพียงครั้งเดียว

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คุณประเมินปัจจัยที่คุณใช้ระหว่างการคำนวณครั้งแรก โปรดทราบว่าปัจจัยเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปตามเวลาที่ผ่านไป ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่คุณควรติดตามกระแส

3. การทดลอง

อย่าหยุดจากจุดที่คุณเริ่มต้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเกษียณอายุที่คุณต้องการ เป็นการดีที่สุดที่คุณจะทดลองกับปัจจัยผันแปรที่จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อผลลัพธ์

ตัวอย่างเช่น อัตราเงินเฟ้อสามารถเปลี่ยนแปลงได้สูง ดังนั้น การทดสอบอัตราที่แตกต่างกันจะทำให้คุณมีอัตราที่ต่ำและสูง

4. หามืออาชีพอยู่เสมอ

อย่าพึ่งพาเครื่องมือเพียงอย่างเดียว การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญเสมอ ด้วยวิธีนี้ คุณจะเข้าใจการใช้เครื่องคำนวณการเกษียณอายุได้ดีขึ้น

การรู้ข้อดีและข้อเสียจะช่วยให้คุณเข้าใจถึงความอยู่รอดของเครื่องคำนวณการเกษียณอายุ ในทางกลับกัน การรักษาอนาคตของคุณจะค่อนข้างง่าย

ความเข้าใจเกี่ยวกับดักของเวลาและเงินทอง

 

กับดักเวลาและเงินทอง



เหตุผลที่ทำให้คนจำนวนหนึ่งมีฐานะไม่มั่นคงก็คือขาดความมุ่งหวังตั้งใจอย่างแรงกล้า ดีแต่ฝันลมๆแล้งๆอยากเป็นเศรษฐีโดยไม่ได้ทำอะไรเหมาะสม ที่จะทำให้ฝันเป็นจริงขึ้นมาการที่จะเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงไม่ทำอะไรที่เหมาะสมนั้นเราต้องเข้าใจว่าเขามองเรื่องเวลาอย่างไร

เวลาเป็นสิ่งแปลกบางวัฒนธรรมมีแนวโน้มที่จะเข้าใจเรื่องเวลาเป็นวัฏจักรเช่นเกิดมีชีวิตใดและเกิดใหม่  คือ   อดีต  ปัจจุบัน และอนาคต

ถ้าเรามองว่าเวลาเป็นเส้นตรงลองขีดเส้นตรงและแบ่งเวลาเป็นช่วงเวลาละ 10 ปีเท่ากัน  จากอดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต 10 ปีเท่ากันก็จริง    แต่ในความรู้สึกของคนทั่วไปแล้วจะให้ความสำคัญแก่เวลาที่อยู่ใกล้กับปัจจุบันมากที่สุดและเวลาไกลออกไปเท่าใดโปรตีนไข่ความสำคัญสาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาสามารถวาดภาพสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ได้ชัดเจนกว่าสิ่งที่ขาดเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไกลออกไป ลักษณะพิเศษเช่นนี้ขอบใจอย่างสุดซึ้งต่อการใช้ชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเงินๆ ทองๆ

มีหลายตัวอย่างที่ขอยกมาเพื่ออาจช่วยไม่ให้ติดอยู่ในกับดักของการมองเวลา

ตัวอย่างแรก เงินกู้ระยะยาวที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำจะเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไปยิ่งเงินดาวน์ต่ำหรือไม่มีเลยยิ่งเป็นที่น่าพิสมัย เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะชอบการจ่ายเงินสดน้อยๆในปัจจุบัน และมีภาระผูกพันในแต่ละเดือนไม่มากนัก

สิ่งที่พลาดไปก็คือ ได้มองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อเวลายิ่งยาวขึ้นโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยจะผันผวนสูงขึ้นยิ่งดีมาก และเมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ธนาคารจะเรียกเก็บเงินกู้ผ่อนชำระสูงขึ้นในแต่ละเดือนสถาบันการเงินทำได้โดยไม่ต้องบอกล่วงหน้ายกเว้นมีการตกลงกันไว้ก่อน

ตัวอย่างที่ 2  การให้ความสำคัญแก่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมากกว่าอนาคตทำให้มนุษย์โดยทั่วไปชอบการผลัดวันประกันพรุ่ง อย่างเช่นคนอเมริกาใต้ที่ชอบพูดว่ามัน “manana”  ซึ่งแปลว่าเอาไว้ก่อนพรุ่งนี้เถิด สิ่งที่เลวร้ายของมันยาน่าก็คือ คิดว่าจะออมในวันพรุ่งนี้ สำหรับวันนี้ขอใช้ชีวิตใช้จ่ายเงินให้สนุกไปก่อน และทุกๆ วัน ในแต่ละเดือนก็คิดอย่างนี้ แต่พรุ่งนี้ก็มาไม่ถึงเสียที จนแม้เมื่อถึงวันเกษียณอายุแล้วก็ตาม

ตัวอย่างที่ 3  เมื่อไม่สามารถวาดภาพสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ได้ชัดเจน เป้าหมายในอนาคตอันไกลจึงท่าเรือและนำไปสู่การมีชีวิตอยู่ไปวันๆในระยะสั้น ด้วยขาดเป้าหมายชีวิตในระยะยาว

ปรากฏการณ์ขาดเป้าหมายในชีวิตนี้ มักเกิดขึ้นกับผู้คนที่ให้ความสนใจแก่ปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการหาความสุขระยะสั้น และมักมีการขาดวินัยและความมุ่งมั่นเป็นเพื่อนเกลอสนับสนุน

กับดักทั้ง 3 ขั้นต้นนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการพยายามเข้าใจจุดอ่อนตามธรรมชาติของมนุษย์ในการมองเรื่องเวลาเท่านั้น

ทั้งหมดที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับสินเชื่อส่วนบุคคล

 
สินเชื่อมีหลายประเภท สามารถจำแนกตามความต้องการของบุคคล สมมติว่าหากต้องการเงินกู้สำหรับบ้านของเขา / เธอควรใช้สินเชื่อบ้าน หากบุคคลนั้นต้องการเงินเพื่อตอบสนองความต้องการด้านการศึกษาเขา / เธอจะได้รับอนุญาตให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา

สินเชื่อประเภทอื่น ๆ ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคลสินเชื่อเงินด่วน ฯลฯ อย่างไรก็ตามเมื่อมีการพิจารณาที่จะกู้เงินเขา / เธอควรจำไว้ว่าอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อทุกประเภทนั้นแตกต่างกัน ในบทความนี้เราจะจัดการกับสินเชื่อส่วนบุคคลและจะพยายามหาวิธีที่จะได้รับเงินกู้



สินเชื่อส่วนบุคคลเป็นสิ่งที่คุณอาจต้องการตลอดเวลาสำหรับการซื้อสิ่งที่คุณเลือก นี่อาจเป็นโทรทัศน์ตู้เย็นหรือแม้แต่ชุดนักออกแบบที่คุณเจอในร้าน นี่เป็นค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่เกิดขึ้นทันทีโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทุกอย่างสามารถใส่ลงในสินเชื่อส่วนบุคคล

ในการสมัครขอสินเชื่อต้องมีเครดิตที่ดี สิ่งนี้จะทำให้กระบวนการอนุมัติสินเชื่อรวดเร็วขึ้น หากมีคะแนนเครดิตไม่ดีโอกาสในการได้รับเงินกู้จะน้อยกว่ามาก ดังนั้นเมื่อคุณสมัครสินเชื่อให้แน่ใจว่าคุณมีรายงานเครดิตที่สะอาด

ธนาคารจะใช้เวลาในการอนุมัติสินเชื่อเนื่องจากพวกเขาตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดก่อนที่จะบอกคุณว่า "ใช่" หากคุณต้องการสินเชื่อที่รวดเร็วคุณสามารถสมัครกับสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อได้อย่างรวดเร็ว จุดสำคัญของการเลือกองค์กรเหล่านี้มากกว่าธนาคารก็คือพวกเขาอาจเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยสูงถึงแม้ว่าบางองค์กรจะมีข้อยกเว้นในกรณีนี้ และแน่นอนมันจะดีกว่าเนื่องจากกระบวนการนี้รวดเร็วและไม่ยุ่งยากเมื่อคุณต้องการเงิน

หากคุณสมัครสินเชื่อโปรดแน่ใจว่าได้ทำตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของสินเชื่อ วิธีนี้จะทำให้แน่ใจว่าคุณทราบถึงสิ่งที่คุณตกลงจ่าย

สิ่งที่คุณต้องระวังคืออะไร

ระมัดระวังเกี่ยวกับเงื่อนไขการชำระคืน เราแนะนำให้คุณอย่าไปกู้ยืมเงินระยะยาว มีบาง บริษัท ที่เรียกเก็บยอดเงินที่ซ่อนอยู่และคุณจะไม่มีทางรู้ว่าสิ่งที่คุณจ่าย ดังนั้นตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณไม่ตกหลุมพรางของพวกเขา รับใบเรียกเก็บเงินทุกครั้งเมื่อคุณจ่ายเงินเพื่อให้คุณมีหลักฐานการชำระเงินที่คุณจ่ายไป

9 เคล็ดลับที่ต้องพิจารณาก่อนสมัครสินเชื่อส่วนบุคคล

 
หากคุณมีความต้องการส่วนตัวที่จะครอบคลุมคุณสามารถไปสินเชื่อส่วนบุคคล มีข้อกำหนดที่กำหนดไว้สำหรับการให้สินเชื่อเหล่านี้ คุณต้องชำระเงินกู้ทันทีที่ครบกำหนด หากคุณต้องการสินเชื่อส่วนบุคคลตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณพิจารณา 9 สิ่งที่ได้รับด้านล่าง



1. เลือกข้อเสนอที่ดีที่สุด

คุณสามารถใช้เงินกู้ประเภทนี้เพื่อวัตถุประสงค์มากมาย คุณสามารถใช้มันเพื่อทำการลงทุนหรือรวมหนี้ในบัตรเครดิตของคุณ คุณอาจต้องการอ่านสินเชื่อประเภทอื่นเพื่อตอบสนองความต้องการของคุณ

2. ทำงานกับผู้ให้กู้ที่ดีที่สุด

แหล่งข้อมูลที่ดีบางแห่ง ได้แก่ ผู้ให้กู้ออนไลน์สหภาพเครดิตและธนาคาร ข้อกำหนดและอัตราดอกเบี้ยอาจแตกต่างกันไปตามผู้ให้กู้ที่คุณเลือก ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะช็อปรอบ ๆ และมองหาสิ่งที่สามารถครอบคลุมความต้องการของคุณ

3. อย่าเพิกเฉยต่อการพิมพ์ละเอียด

ให้แน่ใจว่าคุณรู้เงื่อนไขการกู้ยืม อย่าลืมพิมพ์งานละเอียด ขึ้นอยู่กับงบประมาณของคุณคุณควรตัดสินใจว่าเงื่อนไขการชำระคืนนั้นเหมาะสมกับคุณหรือไม่ โปรดทราบว่าคุณอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการชำระล่าช้าเช่นกัน

เนื่องจากผู้ให้กู้ได้รับเงินในรูปของดอกเบี้ยคุณอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมบางส่วนในกรณีที่ชำระล่าช้า

4. การจัดอันดับเครดิตของคุณควรถูกต้อง

อัตราดอกเบี้ยที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อส่วนบุคคลของคุณอาจแตกต่างกันไปตามคะแนนเครดิตของคุณ ตัวอย่างเช่นหากคุณมีคะแนนเครดิตไม่ดีคุณอาจต้องจ่ายเพิ่ม 20% ในแง่ของดอกเบี้ย ดังนั้นจึงควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าการจัดอันดับเครดิตของคุณถูกต้อง

5. พิจารณาค่าธรรมเนียมการให้กู้ยืม

แม้ว่าคุณจะพบผู้ให้กู้บางรายที่เสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า แต่โปรดจำไว้ว่าพวกเขาอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษที่อาจเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นจะดีกว่าถ้าใช้ผู้ให้กู้ที่มีอัตราสูงแทนที่จะเป็นผู้ที่อาจเพิ่มค่าธรรมเนียมการให้กู้

6. พิจารณาข้อจำกัดของคุณ

นี้เป็นสิ่งสำคัญ. ก่อนที่คุณจะสมัครขอสินเชื่ออย่าลืมทำความเข้าใจกับสถานการณ์ทางการเงินของคุณให้ดีขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคุณควรไปสำหรับจำนวนเงินที่คุณสามารถชำระได้ง่าย

7. พิจารณาการถอนเงินอัตโนมัติ

ในระหว่างการวิจัยของคุณคุณอาจพบว่าผู้ให้กู้บางรายพร้อมที่จะเสนอสิ่งจูงใจหากคุณอนุญาตให้พวกเขาเข้าถึงบัญชีธนาคารของคุณสำหรับการถอนเงินอัตโนมัติของการชำระเงินกู้ในแต่ละเดือน

8. การชำระคืน

หากคุณพบว่าเป็นการยากที่จะชำระเงินคุณอาจต้องการดูตัวเลือกอื่น ๆ ที่คุณอาจมี คุณสามารถเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเงินกู้ได้หรือไม่? ผู้ให้กู้พร้อมสำหรับอนุญาโตตุลาการหรือไม่?

9. อัตราตัวแปรหรืออัตราคงที่

คุณสามารถเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่หรือผันแปรสำหรับเงินกู้ของคุณ? โดยทั่วไปแล้วเงินกู้ที่มีอัตราผันแปรจะช่วยให้คุณเริ่มต้นด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า แต่จะมีความเสี่ยงเช่นกัน ด้วยการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยอัตราตัวแปรจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้นคุณจะต้องชำระเงินรายเดือนสูงขึ้น

ดังนั้นคุณอาจต้องการพิจารณา 9 เคล็ดลับเหล่านี้ก่อนที่คุณจะสมัครสินเชื่อส่วนบุคคล

เป็นคนระดับไหน… รายได้ก็อยู่ระดับนั้น

 

เป็นคนระดับไหน… รายได้ก็อยู่ระดับนั้น


หลายท่านที่เคยมีประสบการณ์ในการวางแผนการเงินเพื่อสร้างความมั่นคงมั่งคั่งให้กับตนเองและครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการศึกษาดีๆ ให้บุตร การวางแผนเกษียณอายุ ไปจนถึงการวางแผนสร้างทรัพย์สินที่จ่าย Passive Income เพื่อให้อิสรภาพทางการเงินกับตนเองในอนาคต คงจะพบว่า การจะบรรลุเป้าหมายต่างๆ ได้เร็วนั้น เราจำเป็นต้องมีปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่ดี นั่นคือ…

มีรายได้ที่ดี
มีรายจ่าย หรือภาระต่างๆ ที่ไม่มากเกินไป
มีผลตอบแทนการลงทุนที่สูงพอ
แน่นอนว่าทั้ง 3 ปัจจัยต่างก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่ถ้าถามว่า “ปัจจัยใดสำคัญที่สุด” ผมคิดว่าปัจจัยที่ 1 คือการ “มีรายได้ที่ดี” มีความสำคัญที่สุด

นั่นก็เพราะปัจจัยที่ 2 คือเรื่องรายจ่ายนั้น แม้จะเป็นสิ่งที่เรามีอำนาจควบคุมสูง แต่ให้ประหยัดอย่างไร เราก็ยังคงต้องใช้จ่าย ยิ่งมีภาระมากขึ้นเช่นมีครอบครัวมีลูก รายจ่ายที่สามารถประหยัดได้ก็มักจะลดลง ยิ่งถ้าพยายามกดดันตัวเองมากเกินไป ความสุขในปัจจุบันก็จะลดลงด้วย ดังนั้น ส่วนต่างที่เกิดจากการประหยัดนั้นจึงมีขอบเขตที่จำกัด

ส่วนปัจจัยที่ 3 เรื่อง ผลตอบแทนการลงทุนนั้น ก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก ยังมีปัจจัยภายนอกเช่นภาวะตลาดที่เราควบคุมไม่ได้ ซึ่งต่างกับเรื่องของรายได้ที่ผมคิดว่าเราควบคุมได้มากกว่า และการเพิ่มรายได้นั้นหลายๆ กรณีเป็นอะไรที่เพิ่มแล้วเพิ่มเลย ไม่ค่อยปรับลดลงมาอีก 

เพิ่มรายได้แบบมนุษย์เงินเดือน

แนวทางการเพิ่มรายได้สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ทำงานกินเงินเดือนนั้น ก็มีอยู่หลากหลายวิธี ตั้งแต่การทำอาชีพเสริม เช่น ธุรกิจส่วนตัวต่างๆ หรือ การค้าขายออนไลน์ ที่ทำควบคู่ไปกับงานประจำได้ บางคนเอาเวลาว่างไปขับรถรับจ้าง (เช่น Uber หรือ Grab) ไปทำธุรกิจขายตรง ไปเป็นตัวแทนประกันชีวิตก็มี

ส่วนท่านที่มีทักษะความเชี่ยวชาญมากหน่อย คือมีความเป็น Specialist ในด้านต่างๆ ก็สามารถที่จะใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองไปสร้างรายได้เพิ่ม ซึ่งมักจะดีกว่าเรทเงินเดือนจากงานประจำ อย่างผมเองสมัยก่อนก็หารายได้เสริมจากงานวิทยากร ซึ่งค่าแรงดีมากเมื่อเทียบกับเงินเดือน บางงานทำแค่วันเดียวก็ได้รายได้เพิ่มเกือบเท่าเงินเดือนทั้งเดือน ซึ่งนอกจากงานวิทยากรแล้ว Specialist หลายๆ ท่านก็ยังสามารถรับงานที่ปรึกษา จัดสัมมนา แต่งหนังสือ ทำคอร์สออนไลน์ หรือรับงาน Freelance ไปพร้อมๆ กับการทำงานประจำได้

แต่ช่องทางทั้งหมดที่กล่าวมาข้างบนนั้น ก็ต้อง “ขวนขวาย” พอสมควร เพราะเป็น “งานเพิ่ม” จากภาระงานเดิม จึงมีคนที่ “ใจถึง” ทำได้ไม่มาก

คำถามคือ ถ้าเรามีข้อจำกัดทำงานเสริมไม่ได้ เรายังมีทางเลือกในการเพิ่มรายได้อยู่มั๊ย ? 

ยกระดับตัวเอง… เพิ่มรายได้จากงานประจำ

ก็ถ้าทำงานเสริมไม่ไหว… ทางเลือกสุดท้ายคือการกลับมาทำงานหลักให้ดีที่สุดนั่นล่ะครับ!

ส่วนจะทำยังไงนั้น ผมอยากเล่าเรื่อง “คน 3 ระดับ” ที่เป็นหลักคิดที่ผมใช้มาตั้งแต่ปีแรกๆ ของการทำงานให้ทุกท่านได้ลองคิดตาม โดยหลักคิดนี้ผมได้รับการอบรมสั่งสอนจาก ดร.สมจินต์ ศรไพศาล (กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย) นายของผม ณ ขณะนั้น ซึ่งในบทความนี้ผมมีดัดแปลงเป็นภาษาและความเข้าใจของผมนิดหน่อย เพราะจำประโยคเป๊ะๆ ที่ท่านสอนไม่ได้ทั้งหมด

เรื่องมันเกิดช่วงปีแรกๆ ของการทำงานของผม ซึ่งเป็นปีที่ผมได้รับโบนัสและการปรับขึ้นเงินเดือนค่อนข้างมาก ซึ่งโดยธรรมเนียมนายก็จะบอกเหตุผลให้ฟัง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเรื่อง “คน 3 ระดับ” โดย ดร.สมจินต์ บอกผมว่าสำหรับท่านซึ่งเป็นผู้บริหาร มีลูกน้องที่ต้องรปกครองนั้น ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องประเมินและตัดสินผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ซึ่งท่านแบ่งคนเป็น 3 ระดับ 

ระดับที่ 1 : ทำงานได้ตามที่สั่ง

คนทำงานกลุ่มนี้ มีมากที่สุดในทุกๆ องค์กร ถือเป็นกลุ่มคนที่มีความสำคัญ เพราะเป็นเรี่ยวแรงสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ธุรกิจดำเนินไปได้ อย่างไรก็ตาม คนกลุ่มนี้ก็ยังต้องการการกำกับดูแลอย่างมาก จะให้เค้าทำอะไรก็ต้องบอก ต้องเจาะจง ต้องมีขั้นตอนการปฏิบัติงานให้ เมื่อเค้าติดขัดอะไรเค้าก็จะมาถาม เมื่อถึงกำหนดที่จะต้องส่งงาน หลายๆ ครั้งก็ต้องลุ้นว่างานจะเสร็จมั๊ย และยังต้องลุ้นอีกต่อด้วยว่า งานที่ทำมันจะ “ใช้ได้” รึเปล่า ส่วนถ้าช่วงไหนไม่ได้มีงานอะไรที่มอบหมายเป็นพิเศษ คนทำงานกลุ่มนี้ก็จะไม่รู้ว่าควรทำอะไรดี

หากถามว่าพนักงานกลุ่มนี้ ควรจะได้ค่าตอบแทนมากๆ รึเปล่า ? เราน่าจะตอบกันได้ว่า “ไม่ใช่” และในความเป็นจริง คนทำงานกลุ่มนี้ ก็จะได้รับค่าตอบแทนในเรทปกติ เป็นเรทค่าเฉลี่ยๆ ที่คนส่วนใหญ่ได้กัน (นั่นก็เพราะคนกลุ่มนี้มีมากที่สุดในทุกๆ องค์กร) เช่น ถ้าคนส่วนใหญ่ได้โบนัสกัน 2 เดือน เงินเดือนขึ้น 5% กลุ่มนี้ก็ได้กันประมาณนั้น บวกลบก็ไม่มาก


ระดับที่ 2 : ทำงานได้ดีกว่าที่สั่ง

คนทำงานกลุ่มนี้ พัฒนาขึ้นกว่ากลุ่มแรกมาก แม้นายยังต้องมอบหมายงานเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ต้องเจาะจงรายละเอียดอะไรมากนักแล้ว เพราะคนกลุ่มนี้ “รู้งาน” รู้ว่าติดขัดจะต้องไปถามใคร ไปหาข้อมูลที่ไหน เป็นพวกที่สั่งงานแล้วแม้จะเงียบหาย แต่เมื่อถึงกำหนดส่ง ก็จะมีงานมาส่งตรงเวลาทุกครั้ง และคุณภาพงานก็ดี ในระดับที่นาย “ไว้วางใจ” คือแค่สั่งงานเสร็จ ก็ “อุ่นใจ” แล้ว ว่างานนี้เสร็จตรงเวลาและดีแน่ๆ

หลายๆ ครั้งคนกลุ่มนี้ยังทำงานได้ดีเกินกว่าความคาดหมาย เพราะมีการ Add Value หรือคิดรายละเอียดของงานเพิ่มให้ในบางประเด็นที่นายคิดไม่ถึง จนนายอาจต้องยิ้มเมื่อได้เห็นงานที่คนกลุ่มนี้ทำส่ง ซึ่งนั่นทำให้เมื่อมีงานสำคัญในครั้งต่อๆ ไป คนกลุ่มนี้ จะเป็นคนกลุ่มแรก ที่นายจะจ่ายงานให้ ซึ่งบางครั้งก็หนักไปบ้าง แต่มันจะ “เคี่ยวกรำ” คนกลุ่มนี้ให้แกร่งขึ้นไปอีก

แน่นอนว่าผลประโยชน์ค่าตอบแทนที่คนกลุ่มนี้ได้รับย่อมจะสูงกว่าคนกลุ่มแรก ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับองค์กรด้วยว่ามีความ “ยืดหยุ่น” และดูแล “คนเก่ง” ได้ดีขนาดไหน แต่จากประสบการณ์ที่ผมเคยเป็นคนกลุ่มนี้มา เราจะรู้สึกภูมิใจอยู่ลึกๆ เมื่อได้รู้ว่าสิ่งที่เราได้รับนั้นดีกว่าค่าเฉลี่ย เพราะงานที่เราทำนั้นก็มีมาตรฐานสูงกว่าค่าเฉลี่ย เช่นกัน (แต่ถ้าเมื่อไรไม่ได้อย่างที่คิด ก็น้อยใจเหมือนกันนะ) 

ระดับที่ 3 : ไม่จำเป็นต้องสั่ง

จะบอกว่าไม่ต้องสั่งอะไรเลยมันก็จะเว่อร์เกินไป เพียงแต่งานพื้นฐานต่างๆ ไม่จำเป็นต้องสั่งหรือมอบหมายคนกลุ่มนี้อีกแล้ว เพราะเค้ารู้หน้าที่ และ มีความรับผิดชอบสูง แต่สิ่งที่คนกลุ่มนี้แตกต่างจากกลุ่มที่ 2 คือความสามารถในการ “คิดไปข้างหน้า” ว่ามีอะไรที่เป็นสิ่งที่ควรทำ (แต่ยังไม่มีใครทำ)

คนกลุ่มนี้เป็นคนที่ทันสถานการณ์ ทันสมัย เข้าใจแนวโน้มต่างๆ ตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลง ให้องประชุม มักจะเป็นคนที่เสนอแนวความคิดใหม่ๆ เป็นคนที่อาจดูพูดมาก ช่างเสนอแนะ ดูจะชอบ “หาเรื่อง + หางานเข้าตัว” ในสายตาของคนกลุ่มอื่นๆ และมักจะเป็นต้นเหตุให้คนกลุ่มอื่นๆ ต้องเดือดร้อนไปด้วย เพราะดันไปสร้างงานเพิ่มให้เค้า แต่ก็เป็นคนที่ “อยู่ในสายตา” ของผู้หลักผู้ใหญ่ในองค์กร

เรื่องค่าตอบแทนคนกลุ่มนี้ได้ดีมาตั้งแต่ตอนที่เป็นคนระดับที่ 2 แล้ว แต่สิ่งที่คนกลุ่มนี้จะได้เพิ่มขึ้นคือ “หน้าตา” หรือ “ตำแหน่ง” และโอกาสในการได้รับการผลักดันขึ้นเป็นผู้บริหารระดับที่สูงๆ ขึ้นไป ซึ่งสำหรับผมแล้ว ผมเรียกคนกลุ่มนี้ว่าเป็นคนที่มี “สปิริตของผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Spirit)” ทั้งๆ ที่ทำงานประจำอยู่ คือเค้าคิด เค้าทำงานเหมือนกับบริษัทเป็นของเค้า ไม่ได้ต้องรอให้ใครมาบอกอะไร แต่คิดฝันถึงความก้าวหน้าต่างๆ ที่จะทำให้บริษัทอยู่เสมอ

ใครที่คิดจะลาออกจากงานประจำ มาทำธุรกิจส่วนตัว ผมคิดว่าควรจะเป็นคนระดับนี้ให้ได้ก่อน เพราะเมื่อออกมาทำธุรกิจเองแล้ว ไม่มีใครมาสั่งงาน มามอบหมาย มาโมติเวทให้เราคิดเราทำอะไรอีกต่อไป เราเองต้องเป็นผู้ผลักดันทุกอย่างให้เกิดขึ้นเองทั้งสิ้น 

เราเป็นคนระดับไหน ?

ในวันที่ผมได้ยินเรื่อง “คน 3 ระดับ” ครั้งแรกนั้น นายผมบอกว่าผมเป็นคนระดับที่ 2 ซึ่งปัจจุบันผ่านมาหลายปีแล้ว ผมเชื่อว่ามันก็น่าจะพัฒนาขึ้นบ้าง เพราะตอนนี้ก็ออกมาทำงานของตัวเองโดยไม่มีนายจ้างแล้ว และระหว่างทางของการพัฒนานั้น ทั้งทักษะ ทั้งประสบการณ์ และรายได้มันก็เติบโตขึ้นมามากอย่างน่าตกใจ

รายได้ต่อเดือนจากสองหมื่นกว่าบาท ในเวลาไม่ถึง 5 ปี ก็ขึ้นมาเป็นเลขหกหลักได้ ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมากนั้น เมื่อนำไปรวมกับอีก 2 ปัจจัยคือการใช้จ่ายอย่างประหยัดพอเพียง การลงทุนที่ดี ทำให้เป้าหมายทางการเงินต่างๆ ที่วาดฝันไว้ สามารถบรรลุได้รวดเร็วขึ้น

เห็นตัวเองได้ดีแรกๆ ก็ยังคิดว่าเป็นเรื่องฟลุ๊ค คิดว่ามันคงเป็นกรณีพิเศษที่เกิดขึ้นกับแค่ตัวเอง แต่เมื่อมีโอกาสได้ให้คำปรึกษากับคนจำนวนมากขึ้น (ช่วงหลังนี้ ปีหนึ่งผมจะมีโอกาสได้โค้ชชิ่งลูกศิษย์แบบ Face-to-Face ประมาณ 100 คนขึ้นไป) ผมเริ่มได้ประจักษ์กับความจริงว่า มันไม่ได้มีแค่ผมหรอกที่ได้แบบนี้ เพราะลูกศิษย์จากหลายๆ สาขาอาชีพ ที่เป็นมนุษย์เงินเดือน อายุประมาณยี่สิบปลายๆ จนถึง สามสิบต้นๆ ก็มีรายได้แถวๆ หกหลักกันอีกหลายคน ซึ่งถ้าอายุเท่านี้ ทำกันได้ขนาดนี้ เมื่อเติบโตขึ้นไป มันก็จะมากขึ้นอีก

ประเด็นตรงนี้ ไม่ได้อยู่ที่คนอื่นเป็นคนระดับไหน ได้รายได้เท่าไรหรอกครับ แต่ประเด็นมันคือ “เราเป็นคนระดับไหน” ต่างหาก เพราะถ้าเราเองยังเองยังมี “Value” ที่ไม่มากพอ ยังเรียกร้องค่าตอบแทนเพิ่มมากๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้สร้างคุณค่าได้สมกับสิ่งที่ควรได้ เราก็กำลังเรียกร้องในสิ่งที่ “เป็นไปไม่ได้” อยู่

ส่วนถ้าใครที่คิดว่าตนเองเป็นคนระดับที่สูงขึ้นแล้ว มีคุณค่าที่สุกงอม สร้างประโยชน์ได้มาก แต่ก็ยังได้รับค่าตอบแทนที่ไม่เป็นธรรม ผมเองก็คิดว่า “เรามีอิสระที่จะเลือก” เช่นกัน ดังนั้น ก็อย่าเสียเวลาอยู่กับองค์กรหรือนายที่ไม่เห็นคุณค่าของเรานานนัก ชีวิตก็สามารถก้าวต่อไปได้

แต่บอกเลยว่า ต่อให้ค่าตอบแทนท่านไม่เพิ่ม แต่ทักษะ ประสบการณ์ ความรู้ความสามารถ ที่หล่อหลอมเป็นอุปนิสัยของท่าน มันจะติดตัวท่านไปตลอด และมันมีคุณค่ายิ่งกว่ารายได้ที่เป็นตัวเงินในระยะสั้นๆ เป็นไหนๆ ครับ


ขอบคุณบทความดี ๆ จาก http://www.a-academy.net/finance/personal-finance/income-level/

รวยได้สไตล์มนุษย์เงินเดือน เพียงแค่ 8 ข้อถ้าทำได้รับรองรวย 100%

 
ใครว่ามนุษย์เงินเดือนจะไม่มีวันรวย เราขอค้านเลยค่ะ มนุษย์เงินเดือนรวยได้ แน่นอน เพราะคนที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นแม้ว่าจะมีเงินเดือนที่คงที่และไม่มากนัก แต่หากรู้จักเก็บออมและบริหารการใช้จ่ายเงินให้ดี ก็สามารถที่จะก้าวนำตัวเองไปสู่ความร่ำรวยได้เหมือนกัน ซึ่งวันนี้เราก็มีเทคนิคง่ายๆ ที่จะช่วยบริหารเงินสำหรับมนุษย์เงินเดือนให้รวยได้มาฝากกัน



1. ออมสัก 10-30% ทุกเดือน
เมื่อเงินเดือนออก เราจะต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นเงินออม โดยออมแค่ 10-30% พอค่ะ เช่น ได้เงินเดือน 10,000 บาท ก็อาจจะแบ่งออมไว้สัก 1000-3000 บาทนั่นเอง แค่นี้ก็จะทำให้มีเงินออมเหลือใช้ในแต่ละเดือนแล้วล่ะ โดยการออมเงินนั้นเราอาจจะออมใส่กระปุกออมสินไว้หรือฝากธนาคารก็ได้ แต่ถ้าให้ดีฝากธนาคารจะดีกว่า เพราะจะทำให้เรามีวินัยในการเก็บเงินมากขึ้นและไม่เผลอนำเงินออกมาใช้จนหมดนั่นเอง

2. ทำบัญชีรายรับ รายจ่าย
บัญชีรายรับ รายจ่ายก็นับว่าสำคัญมากเลยล่ะ เพราะการจดบัญชีรายรับรายจ่ายไว้จะทำให้เรารู้ว่าในแต่ละวันเราจ่ายอะไรไปบ้างและจำเป็นมากแค่ไหน อีกทั้งยังเป็นเครื่องเตือนใจว่าในขณะนี้เราใช้จ่ายเงินไปมากน้อยเท่าไหร่แล้ว เพื่อจะได้ไม่เผลอเพิ่มรายจ่ายไปมากกว่านี้นั่นเอง เรียกได้ว่ารายรับรายจ่ายเป็นเครื่องมือที่ลดความฟุ่มเฟือยได้อย่างดีเยี่ยมเลยล่ะ

3. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน
อยากรวยต้องรู้จักตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนก่อนนะคะ โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าเดือนนี้จะต้องมีเงินเก็บเท่าไหร่ หรืออีก 5 เดือนจะต้องเก็บเงินได้เท่าไหร่ ซึ่งจะทำให้เรามีกำลังใจที่อยากจะไปให้ถึงจุดหมายให้ได้มากที่สุดเลยล่ะ นอกจากนี้เราอาจจะใช้การตั้งเป้าหมายด้วยสิ่งจูงใจบางอย่าง เช่นจะต้องเก็บเงินให้ได้เท่านั้นเพื่อซื้อโทรศัพท์ เพื่อไปเที่ยวหรือเพื่อะไรก็ตามที่คุณอยากได้ ก็จะช่วยเป็นแรงกระตุ้นในการเก็บออมเงินได้อย่างดีเยี่ยมเลยล่ะ

4. เลือกการลงทุนสักอย่างที่เหมาะกับคุณ
ใช่ว่ามนุษย์เงินเดือนจะไม่สามารถทำกำไรด้วยการลงทุนได้นะ เพียงแต่ต้องเลือกลงทุนเมื่อมีเงินพอที่จะลงทุนโดยไม่เดือดร้อนได้แล้วและจะต้องเลือกลักษณะการลงทุนให้เหมาะกับตัวเองที่สุดนั่นเอง แต่ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนอะไรสักอย่าง คุณควรเก็บออมเงินให้ได้สักก้อนก่อนแล้วค่อยใช้เงินที่เหลือจากการเก็บออมมาลงทุนนั่นเอง

5. ทำประกันสังคมไว้สิ
หลายคนอาจจะมองว่าการทำประกันสังคมจะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายในส่วนของประกัน แต่หากคิดในทิศทางที่ตรงข้ามกันจะพบว่ามันมีประโยชน์กว่าที่คุณคิดมากเลยล่ะ ลองคิดดูสิว่าหากเราเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลก็จะต้องใช้เงินมากอยู่เหมือนกันอีกทั้งยังขาดรายได้อีกด้วย แต่หากทำประกันสังคมไว้ล่ะก็ ถึงแม้ว่าเราจะเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลแต่ก็ยังได้เงินคืนจำนวนหนึ่งเลยล่ะ

นอกจากนี้ผู้หญิงเรายังสามารถใช้สิทธิประกันสังคมในการคลอดบุตรได้อีกด้วยนะ เห็นไหมว่าไม่ว่าจะเข้าโรงพยาบาลหรือคลอดบุตรก็ยังมีเงินให้ใช้ และไม่รบกวนเงินเก็บจนเกินไปอีกด้วย ดังนั้นมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ มาทำประกันสังคมกันดีกว่าค่ะ

6. ชำระบัตรเครดิตให้ตรงเวลา
แน่นอนว่าถึงแม้จะเป็นมนุษย์เงินเดือนแต่หลายคนก็คงมีบัตรเครดิตไว้ครอบครองกันอย่างแน่นอน ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกสบายในการใช้จ่ายเงินของแต่ละคนนั่นเอง แต่หากใช้บัตรเครดิตแล้วล่ะก็จะต้องจ่ายชำระค่าบัตรเครดิตให้ตรงเวลาด้วยนะคะ เพราะหากปล่อยให้พ้นเวลาชำระไปล่ะก็ ดอกเบี้ยจะบานขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเลยล่ะ คงไม่มีใครที่อยากจะเพิ่มภาระหนี้ให้กับตัวเองหรอกจริงไหมคะ

7. ช้อปปิ้งให้น้อยลง
สำหรับใครที่ติดนิสัยเงินเดือนออกทีไรก็ต้องไปช้อปปิ้งทุกที ต้องเปลี่ยนนิสัยของตัวเองกันหน่อยแล้วนะคะ เพราะการช้อปปิ้งนี่ล่ะที่เป็นสาเหตุหลักของความยากจนเลย ดังนั้นหากไม่จำเป็นก็ลดลดการช้อปลงหน่อยก็ดีเหมือนกันเนอะ จะได้มีเงินเหลือเก็บและก้าวไปสู่ความร่ำรวยได้นั่นเองค่ะ

8. พยายามลดค่าใช้จ่ายลง
เงินเดือนออกทีไรก็ไม่เคยพอกับค่าใช้จ่ายสักที แถมบางครั้งยังไม่มีเงินเหลือใช้อีกด้วย นั่นอาจเป็นเพราะค่าใช้จ่ายที่มากเกินไปในแต่ละเดือน เพราะฉะนั้นหากคุณอยากรวยล่ะก็ จะต้องพยายามลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง เช่นการช้อปปิ้งบ่อยเกินไปหรือการกินข้าวนอกบ้าน เพราะมันจะทำให้สิ้นเปลืองเงินไปโดยเปล่าประโยชน์เลยล่ะ อะไรที่ไม่จำเป็นก็ตัดออกไปบ้างก็ดีนะคะ

อยากรวยไม่ใช่เรื่องยาก ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่มนุษย์เงินเดือนก็ตาม เพียงแค่เราปรับการใช้จ่ายเงินใหม่และขยันเก็บออมให้มากขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายอะไรที่ไม่จำเป็นก็เลี่ยงซะ

แค่นี้ก็จะมีเงินเก็บได้ไม่ยากแล้วล่ะ แถมยังก้าวไปสู่ความร่ำรวยได้อย่างง่ายดายขึ้นอีกด้วยนะ ใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือนลองทำตามวิธีของเราดูนะคะแล้วคุณก็จะก้าวไปสู่จุดหมายได้อย่างแน่นอน ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งเลยล่ะ

ที่มา :http://money.sanook.com/354439/

วิธีใช้เงินของคนจะรวยกับคนจะจน เป็นอย่างไร?

 
7 นิสัยการใช้เงิน คนจะรวย vs คนจะจน

การที่คนหนึ่งคนจะประสบความสำเร็จได้ไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำกันได้ง่ายๆเหมือนกัน  ความมั่งคั่ง ความร่ำรวยในทรัพย์สินเงินทอง เป็นสิ่งที่หลายๆคนนั้นเฝ้าฝันหามันมาตลอด แต่ทว่ากลับยังไม่เคยได้สัมผัสกับชีวิตแบบนั้นเลย เป็นเพราะเหตุใดกัน

เพราะยังขยันไม่มากพอ หรือเพราะขาดความตั้งใจ  ปัจจัยที่ทำให้คนคนหนึ่งรวยได้นั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากตัวของเขาเอง เกิดจากการได้รับโอกาสดีดี โชค หรือ ดวงชะตา ก็ตามแต่ และมีสิ่งสิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างจากคนทั่วไปๆก็คือ นิสัย ความคิดและการใช้ชีวิต วันนี้เราจะมาพูดในเรื่องคนจะรวยและคนจะจนกับ นิสัยการใช้เงิน กันบ้างดีกว่าครับ

 1. คนจะรวยซื้อความรู้  คนจะจนซื้อความสบาย

ใช่แล้วครับ คนจะรวยมักแสวงหาความรู้ให้ตัวเองก่อนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการร่ำเรียนหาวิชาความรู้ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ไปจนถึงวัยทำงานแล้วก็ยังหาโอกาสเข้าครอสอบรมต่างๆ เช่น การลงทุน, การเก็งกำไร, การฝึกภาษา, การพัฒนาบุคลิกภาพและความสามารถ หรือเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะแตกต่างกับคนจะจน ที่มั่วแต่ใช้เงินเพื่อหาความสุขความสะดวกสบายมาปนเปรอตัวเอง ถึงแม้ว่าวันนี้คุณจะมีเงินเยอะเท่าไหร่ก็ตาม แต่มันก็มีวันหมดได้ ถ้าคุณไม่รู้จักนำเงินเหล่านั้นไปใช้ในทางที่เกิดประโยชน์และสร้างสรรค์

2. คนจะรวยชอบเก็บออม คนจะจนมีแต่ใช้กับใช้แต่ไม่เก็บ

แค่วิธีคิดที่ต่างกันก็สามารถทำนายอนาคตของบุคคลเหล่านั้นได้แล้วครับ คนจะรวยถึงวันนี้จะยังไม่มีเงินและมีรายได้น้อยอยู่ แต่พวกเขาก็พยายามเก็บ จากสิบเป็นร้อย จากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นหมื่นไปเรื่อยๆ ด้วยนิสัยที่ชอบเก็บออมนี่แหละครับจะทำให้พวกเขาเป็นคนที่มีเหตุผลในการใช้เงินมากขึ้น  คนจะจนมักไม่คิดถึงอนาคต ไม่เตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ถึงแม้วันนี้จะมีเงินมาก แต่ถ้ามีแต่ใช้กับใช้ พอนานวันเข้านอกจากจะไม่มีเงินเก็บแล้วอาจจะลำบากไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานเลยก็ได้ครับ

3. คนจะรวยชอบประหยัด คนจะจนชอบฟุ่มเฟือย

อีกหนึ่งความแตกต่างครับ คนจะจนซื้อเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ ใช้เงินอย่างไม่มีสติ ทำให้บางครั้งนั้นเงินที่หามาได้ก็ชักหน้าไม่ถึงหลัง ส่วนคนจะรวยจะชอบประหยัดในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าให้งกหรือขี้เหนียวนะครับ แต่ก็ควรรู้ว่าสิ่งไหนจำเป็นสิ่งไหนไม่จำเป็น มีเหตุผลในการใช้เงิน มีความมัธยัสถ์ อดออมนั่นเองครับ

4. คนจะรวยชอบแบ่งปัน คนจะจนหวงแต่ผลประโยชน์และภาพลักษณ์ของตัวเอง

สำคัญมากๆเลยครับข้อนี้ คนจะรวยนั้นจะคิดอยู่เสมอว่า การมีน้ำใจหยิบยื่นความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆให้กับผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำ มันไม่ทำให้จนลงครับ เพราะยิ่งให้ก็ยิ่งจะมีแต่ได้น้ำใจนั้นกลับคืนมา ตรงข้ามกับคนจะจนที่มีแต่ความอยากได้อยากมี อะไรที่เป็นผลประโยชน์ของตัวเองนั้นรีบคว้าไว้ เห็นแก่ตัว ไม่ยอมช่วยเหลือหรือมีน้ำใจกับผู้อื่นบ้าง จึงไม่แปลกที่ในยามเดือดร้อนมักจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวและล้มละลาย

5. คนจะรวยเลือกกินแต่ของที่มีประโยชน์ คนจะจนกินไม่เลือกขอแค่อร่อย

คนจะรวยถึงแม้จะชอบทำงานหนักแต่ก็ไม่เคยละเลยที่จะดูแลสุขภาพของตนเอง โดยการเลือกกินแต่สิ่งที่มีประโยชน์ให้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะได้ไม่ต้องเจ็บป่วย เพื่อที่จะได้มีกำลังกายสร้างสรรค์งานที่ดีต่อไป ส่วนคนจะจนนั้นกินไม่เลือกและชอบกินของแพง โดยไม่สนใจว่าจะมีประโยชน์หรือเปล่า อีกทั้งยังขี้เกียจออกกำลังกายไม่ดูแลสุขภาพตนเองจึงทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย

6. คนจะรวยใช้เงินไปกับการท่องเที่ยวหาประสบการณ์ คนจะจนใช้เงินไปกับการเที่ยวเสพอบายมุข

คนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลมักจะออกเดินทางแสวงหาสิ่งใหม่ๆ เพลิดเพลินไปกับความงดงามของธรรมชาติ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆให้กับตนเองเสมอ แต่คนจะจนคิดได้แต่ว่าวันนี้จะไปนั่งดื่มที่ไหน ปล่อยใจปล่อยกายหลงระเริงเพลินเพลินไปกับสิ่งมอมเมาต่างๆทำให้เสียทรัพย์โดยไม่เกิดประโยชน์

7. คนจะรวยชอบใช้เงินซื้อของสะสมที่เพิ่มมูลค่า คนจะจนชอบสะสมของที่เสื่อมมูลค่า

ถึงแม้ว่าคนจะรวย จะยังไม่รวยในตอนนี้แต่เขากลับมีพฤติกรรมที่ว่าชอบเก็บออมเงินให้ได้สักก้อนแล้วนำเงินนั้นไปลงทุนต่อ หรือไปหาซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างๆไว้เพื่อเก็งกำไรหรือเพิ่มมูลค่าให้กับเงินที่มีมากขึ้น ต่างกับคนจะจนที่จะสะสมของใช้เห็นอะไรลดราคาก็ซื้อมาไว้ โดยเฉพาะของใช้ฟุ่มเฟือยและใช้เงินไปกับอบายมุขและการพนันต่างๆ

ตัวอย่างนิสัยทั้ง 7 ข้อนี้อาจจะไม่ใช่กฎที่จะตัดสินได้ว่า คุณทำแบบนั้นแล้วจะจนหรือจะรวยได้เสมอไปนะครับ อย่างที่บอกแล้วว่า มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีพร้อมด้วยปัจจัยหลายอย่าง


ที่มา:https://moneyhub.in.th/article/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99/

อยากเป็นเศรษฐี ต้องรู้จักเคล็ดลับการบริหารเงิน

 
อยากเป็นเศรษฐี ต้องรู้จักเคล็ดลับการบริหารเงิน

วันนี้คุณสามารถที่จะเป็นคนที่เต็มไปด้วยความพร้อม มีหน้ามีตา มีการเงินที่ดี ที่รองรับการใช้งานได้อย่างที่บอกได้เลยว่าชีวิตมีความสงบสุขเป็นที่สุดแล้วนั่นเอง เพราะวันนี้ไม่มีอะไรที่ดี และสมบูรณ์แบบไปกว่าการที่คุณได้มีเงินไว้เพียงพอต่อการใช้จ่ายไปตลอดชีวิต และบั้นปลายชีวิตคุณนั้นจะไม่พบกับความลำบากจัดได้เลยว่าชีวิตดี แสนจะแฮปปี้กันเลยทีเดียว

ดังนั้นวันนี้เรามาเริ่มต้นในการเก็บออมเงินกันดีกว่านะคะ เพื่อชีวิตที่ดี อนาคตวันข้างหน้าที่ไม่ลำบาก มีเงินใช้จ่ายอย่างพอเพียง และมีความมั่นคงของชีวิต แต่ทั้งนี้เชื่อได้เลยว่าหลายคนในที่นี่มีจำนวนไม่น้อยเลยที่อยากจะเป็นเศรษฐี แต่เดินไปได้เพียงครึ่งทางเท่านั้นก็เกิดความท้อ และไม่อยากที่จะเดินต่อไป

ดังนั้นเราจึงมีวิธีการที่ดีๆ รวมไปถึงเทคนิคใน บริหารเงินให้รวย การสร้างเงิน และทำให้ตัวเองเป็นเศรษฐีได้ไม่ยากมาฝากกันนะคะ ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางในการที่คุณจะได้นำไปดัดแปลง หรือแก้ไขใช้กับตัวคุณนั่นเอง

มาดูเคล็ดลับบริหารเงินให้รวย เป็นเศรษฐี ที่ทางเราเอามาฝากกัน เชื่อได้เลยว่ามีประโยชน์แก่ผู้อ่านไม่น้อยเลยนั่นเอง

1. สร้างจิตสำนึก
ก่อนอื่นก่อนที่คุณจะทำการเก็บเงินต้องสร้างจิตสำนึกในการรู้คุณค่าของเงินเสียก่อน โดยต้องพึงคิดเสมอว่า เงินทองเป็นของมีค่า ต้องใส่ใจอย่างจริงจังตั้งคำถามกับตัวเองว่า ในแต่ละเดือนคุณจะ "เหลือเก็บก่อนค่อยเอาไปใช้ หรือ เหลือจ่ายก่อนค่อยเอาไปเก็บ" ซึ่งจัดได้เลยว่าเป็นสมการออมเงินที่กว่าการที่เหลือจ่ายแล้วค่อยนำมาเก็บเป็นอย่างมาก เพราะเชื่อเถอะว่าถ้ารอให้เงินเหลือจากการใช้จ่ายนั้นเป็นส่วนน้อยมากๆเลย

ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือ หักเงินออมไว้ก่อน ที่เหลือจึงนำไปใช้จ่าย เพื่อกันเงินสำหรับการเก็บออมอย่างสม่ำเสมอในแต่ละเดือน แต่สำหรับคนที่มองหาความมั่งคั่ง สมการแบบนี้ก็ยังไม่เพียงพอ ต้องเลือกใช้สมการเศรษฐี นั่นคือรายได้ - เงินออม - เงินลงทุน = รายจ่าย โดยหลังหักเงินออมแล้ว ยังต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับลงทุนด้วย เพื่อให้เงินทำงาน เงินทองจะได้งอกเงยยิ่งๆ ขึ้นไป

2. ยิ่งเริ่มต้นลงทุนเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งรวยเร็วขึ้นเท่านั้น
มันคงดีไม่น้อยหากคุณคิดจะเริ่มต้น และตั้งหลักได้ด้วยเวลาที่แสนสั้นและรวดเร็ว ยิ่งเรามีการจัดการที่ดีตั้งแต่อายุน้อยๆเชื่อได้เลยว่าจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งนี้เป็นเพราะว่าระยะเวลามีผลต่อผลตอบแทนในการลงทุน"ยิ่งเริ่มต้นลงทุนเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งรวยเร็วขึ้นเท่านั้น"

ถ้าคุณเริ่มต้นออมเงินและลงทุนตั้งแต่วันนี้ คุณมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าเร็วขึ้น โดยระยะเวลาการลงทุนเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงสำหรับการได้รับผลตอบแทน เพราะยิ่งออมหรือลงทุนนานกว่า ก็รับผลตอบแทนที่มากกว่า และที่สำคัญต้องอย่าผัดวันประกันพรุ่งสำหรับการบริหารจัดการเงิน

3. รู้จักตนเองก่อนลงทุน
สำรวจตัวเองว่าคุณยอมรับความเสี่ยงในการลงทุนได้มากน้อยเพียงใด ปัจจุบันสถาบันการเงินต่างๆ มีแบบทดสอบวัดระดับความเสี่ยงสำหรับลูกค้าก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อเลือกวัดระดับความเสี่ยงที่ลูกค้าแต่ละรายจะยอมรับได้ และเลือกประเภทการลงทุนให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ และเป้าหมายในการลงทุนของแต่ละบุคคล

4. ระวังความเสี่ยง
ผลตอบแทนมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงผลตอบแทนของการลงทุนแต่ละประเภทแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยง การลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อย ผลตอบแทนย่อมน้อยตาม แต่หากลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ก็อาจได้ผลตอบแทนที่สูงตามไปด้วยเช่นกัน แต่มีข้อพึงระวังว่าการลงทุนแบบนี้ก็เสี่ยงต่อโอกาสการขาดทุนได้เช่นเดียวกัน

5. มีแผนการรับมือ
ในการลงทุนแต่ละครั้งต้องคำนึงถึงความเสี่ยงเสมอ และควรที่จะหาแนวทางแก้ไข้ หรือการป้องกัน หรืออาจเป็นแผนการรับมือไว้ล่วงหน้าด้วยก็ดีไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่เคล็ดลับในการลงทุนที่สำคัญที่สุดเลยนั่นคือ ลงทุนอย่างเหมาะสมอย่าลงทุนกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภทใดประเภทหนึ่งเพียงอย่างเดียวเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนสูง

เพราะนั่นหมายถึงคุณมีความเสี่ยงที่สูงมากในกรณีที่เกิดการขาดทุน แต่การจัดสรรพอร์ตการลงทุนโดยลงทุนในผลิตภัณฑ์การเงินแต่ละประเภทอย่างเหมาะสม ในระดับที่มีความเสี่ยงน้อยไปถึงมาก จะช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้

6. ศึกษาการลงทุนให้รอบคอบ
ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าการลงทุนนั้นมักจะมากับความเสี่ยงเสมอ ดังนั้นหากคุณต้องการทีจะห่างไกลกับคำว่าเสี่ยง ต้องทำการศึกษาระบบการลงทุนให้รอบคอบก่อนที่จะทำการลงทุนกันเสียก่อน โดยอาจเป็นการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการลงทุน

"การลงทุนมีความเสี่ยง" โดยเฉพาะถ้าลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนและให้ผลตอบแทนที่สูง จำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจ มีข้อมูลรอบด้าน และมีการวางแผนจัดการที่ดี เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้องแม่นยำ หากไม่มั่นใจให้เลือกปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน หรือผู้จัดการการเงินส่วนบุคคล

ซึ่งจะช่วยให้การตัดสินใจลงทุนไม่ผิดพลาด และจะช่วยวาง แผนการเงินให้สอดคล้องกับความต้องการและเป้าหมายในชีวิต เพื่อปูทางสู่อนาคตทางการเงินที่สดใสของคุณไงล่ะ

เป็นเรื่องที่สำคัญมากเลยทีเดียวหากคุณต้องการที่จะเก็บออมเงินนั้น คือใจรักที่จะเก็บ และความเข้มแข็งที่บอกได้เลยว่าหากมีสองอย่างนี้อยู่ในตัวรับรองได้เลยว่าคุณจะเดินทางไปถึงฝั่งไม่ยากเลย

ที่มา: http://money.sanook.com/357749/

ไขข้อข้องใจการคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิต เมื่อรู้แล้วคุณต้องอึ้ง!!

 

การคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่แท้จริง และข้อควรระวังในการใช้บัตรเครดิต


ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่าจำนวนบัตรเครดิต มีมากกว่า 20 ล้านใบ แสดงถึงความนิยมในการใช้บัตรเครดิตอย่างแพร่หลายในยุคปัจจุบัน ถึงกระนั้น ก็ยังมีผู้บริโภคจำนวนมากที่ไม่ทราบหรือมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิต ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาหนี้สะสมตามมาได้ ในฐานะผู้ใช้บัตรเครดิต จึงสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจถึงเงื่อนไขและข้อกำหนดในการใช้ต่างๆ

ความเข้าใจผิดอันดับต้นๆ ของผู้ใช้เกี่ยวกับการคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิตคือ 1. คิดว่าดอกเบี้ยถูกคำนวณจากยอดที่เหลือจากการชำระขั้นต่ำ และ 2. คิดว่าดอกเบี้ยเริ่มถูกคำนวณจากวันครบกำหนดชำระ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ในความเป็นจริงแล้ว ดอกเบี้ยจากการชำระยอดค่าใช้จ่ายแบบไม่เต็มจำนวนจะถูกแบ่งคำนวณเป็นสองส่วน คือ

(๑) ดอกเบี้ยส่วนแรก: 20% คิดจากยอดค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตั้งแต่วันที่บันทึกรายการจนถึงวันสรุปยอดค่าใช้จ่าย 

(๒) ดอกเบี้ยส่วนที่สอง: 20% คิดจากยอดคงค้าง ตั้งแต่วันที่ทำการชำระขั้นต่ำจนถึงวันสรุปยอดค่าใช้จ่ายเดือนถัดไป

ตัวอย่างเช่น หากบัตรสรุปยอดทุกวันที่ 25 และกำหนดชำระทุกวันที่ 9 ของเดือนถัดไป หากท่านมียอดค่าใช้จ่าย 12,000 บาทในวันที่ 13 ต.ค. และเลือกชำระขั้นต่ำ 1,200 บาทในวันที่ 9 พ.ย. ดอกเบี้ยสำหรับรอบบิลถัดไป (9 ธ.ค.) จะถูกคำนวณดังนี้

(1) ยอดรวม 12,000 บาท x ดอกเบี้ย 20% x 13 วัน / 365 = 85.48 บาท (ตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค. – 25 ต.ค.)

(๒) ยอดคงค้าง 10,800 บาท x ดอกเบี้ย 20% x 17 วัน / 365 = 100.60 บาท (ตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย. – 25 พ.ย.)
ดังนั้น ยอดที่จะถูกเรียกเก็บทั้งสิ้นคือ 10,800 + 85.48 + 100.60 = 10,986.08 บาท รวมดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย 186.08 บาท

นอกจากการศึกษาวิธีคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่แท้จริงแล้ว ผู้ใช้บัตรยังควรพึงระวังถึงเรื่องต่อไปนี้

1. ควรชำระยอดค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนทุกครั้ง เพื่อไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ดอกเบี้ยที่สะสมไปทุกๆ รอบบิล จะส่งผลให้เป็นเกิดหนี้ก้อนใหญ่ในท้ายที่สุดจนไม่สามารถจัดการชำระได้
2. หากไม่สามารถชำระเต็มจำนวนได้ ให้เลือกชำระขั้นต่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ถูกเก็บค่าธรรมเนียมในการติดตามทวงถาม นอกจากนั้นหากผู้ใช้ขาดชำระติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน อาจถูกตัดสิทธิ์การใช้บัตรและถูกฟ้องร้องต่อไป
3. หลายท่านเลือกชำระเงินให้น้อยที่สุดที่จำนวนขั้นต่ำ เพราะคิดว่าถึงอย่างไรดอกเบี้ยส่วนแรกก็ต้องคำนวณจากยอดค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ดี แต่ที่จริงแล้ว ยิ่งชำระมากเท่าไหร่ ดอกเบี้ยในส่วนที่สองก็จะลดมากตามไปด้วย
4. ควรกันเงินสดไว้หลังการใช้บัตรทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีเงินเพียงพอสำหรับการชำระเต็มจำนวน
5. ใช้บัตรเครดิตอย่างรู้ทันและมีสติ ควรถามตัวเองทุกครั้งก่อนการรูดบัตรว่าจะสามารถนำเงินมาชำระหนี้แบบเต็มจำนวนได้หรือไม่ เลือกใช้บัตรแทนการจ่ายเงินสดเพราะอะไร และจะได้รับสิทธิ

การไม่เป็นหนี้เป็นลาภอันประเสร็ฐ หลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องฉลาดในการใช้บัตรเครดิตครับ

ไปหน้าแรก  การออมเงินให้ได้ล้าน


"หนี้สิน" ปัญหาใหญ่ที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม

 

"หนี้สิน" ปัญหาใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม ประชาชนส่วนใหญ่กว่า 87.8% ประสบปัญหาภาวะชำระหนี้ล้นพ้นตัว

หนี้สิน วิธีการปลดหนี้

"ไม่มีหนี้ ก็ไม่มีหน้า" เป็นคำพูดของคนหลาย ๆ คนที่ยึดติดอยู่กับวัตถุนิยม ยกย่องคนที่มีวัตถุทรัพย์สินเยอะ ๆ ว่าเป็นคนรวย เป็นคนมั่งมี หรือเป็นคนที่มีรสนิยม แต่บางครั้งเราก็ไม่อาจรู้ได้ว่า ภายใต้สิ่งของและการได้มาเหล่านั้น อาจจะเป็นการกู้หนี้ยืมสิน เขามาซื้อทั้งนั้น 

จากการสำรวจของหอการค้าไทย เผย ผลสำรวจสถานภาพหนี้ภาคครัวเรือน พบว่า ปชช.ส่วนใหญ่ ไม่มีการเก็บออมเงินต่อเดือน ร้อยละ 80.2 ระบุว่ามีหนี้สิน ซึ่งเป็นทั้งหนี้ในระบบและนอกระบบ ขณะที่ ปชช.ร้อยละ 87.8 เคยมีปัญหาในการชำระหนี้ ...

น.ส.อุมากมล สุนทรสุรัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจสถานภาพหนี้ภาคครัวเรือนจากประชาชนทั่วประเทศ 1,200 ตัวอย่าง พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ถึง 67.3% ระบุว่าไม่มีการเก็บออมเงินต่อเดือน ขณะที่อีก 32.7% มีการเก็บออม โดยกลุ่มที่มีการเก็บออมเงินนั้น ส่วนใหญ่เป็นการออมเงิน 10-20% ของจำนวนรายได้ที่ได้รับในแต่ละเดือน

ส่วนในด้านรายจ่ายนั้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 40% ระบุว่า มีมูลค่าการใช้จ่ายเท่ากับรายได้ที่ได้รับ ขณะที่กลุ่มตัวอย่าง 32.2% ระบุว่า มีมูลค่าการใช้จ่ายมากกว่ารายได้ที่ได้รับ และอีก 27.8% ระบุว่า มีมูลค่าการใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ที่ได้รับ โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีมูลค่าการใช้จ่ายในปีนี้เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เป็นเพราะราคาของแพงขึ้น, มีภาระหนี้มากขึ้น และรายได้ที่ได้รับน้อยลง ซึ่งกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 77.8% ระบุว่าค่าครองชีพในปัจจุบันสูงขึ้นไป ขณะที่ 17.5% ระบุว่าเหมาะสม โดยมีเพียงกลุ่มตัวอย่าง 4.8% ที่ระบุว่าค่าครองชีพในปัจจุบันต่ำเกินไป

ส่วนในด้านหนี้สินครัวเรือนนั้น พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ถึง 80.2% ระบุว่ามีหนี้สิน โดยมีเพียง 19.8% ที่ระบุว่าไม่มีหนี้สิน ซึ่งพบว่าการก่อหนี้ของกลุ่มตัวอย่างนั้นส่วนใหญ่ 42.1% มีทั้งหนี้ในระบบและนอกระบบ ส่วน 30.5% มีเฉพาะหนี้นอกระบบ และอีก 27.4% มีเฉพาะหนี้ในระบบ

ทั้งนี้ คิดเป็นจำนวนหนี้สินเฉลี่ย 248,000 บาท/ต่อครัวเรือน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 13.16% หรือคิดเป็นการผ่อนชำระเฉลี่ย 14,033 บาท/เดือน โดยสาเหตุสำคัญ 5 อันดับแรกที่ทำให้มีหนี้สินเพิ่มจากปีก่อน คือ รายได้ลดลง, ค่าครองชีพปรับสูงขึ้น, ผลผลิตทางการเกษตรเสียหายจากภัยธรรมชาติ, มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมาก และค่าเล่าเรียนของบุตรหลาน

ขณะที่ วัตถุประสงค์สำคัญ 5 อันดับแรก ที่ทำให้กลุ่มตัวอย่างจำเป็นต้องมีการกู้ยืม คือ กู้ยืมเพื่อนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รองลงมา คือ กู้ยืมเพื่อซื้อสินทรัพย์, กู้ยืมเพื่อการลงทุนประกอบธุรกิจ, การกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย และกู้ยืมเพื่อชำระหนี้บัตรเครดิต

พร้อมกันนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ถึง 87.8% ยังระบุว่าในรอบปี ที่ผ่านมาเคยมีปัญหาในการชำระหนี้ โดยมีเพียง 12.2% เท่านั้นที่ระบุว่าไม่เคยมีปัญหา อย่างไรก็ดี หากไม่สามารถชำระหนี้ได้นั้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบว่า จะไปกู้ยืมเงินจากที่อื่นมาชำระคืนก่อน รองลงมา จะขอผ่อนผันจากเจ้าหนี้, ปล่อยให้ยึดสิ่งของไป และหลบหนี้

ดังนั้น จึงอยากให้คุณผู้อ่านที่กำลังจะสร้างหนี้ หรือเป็นหนี้อยู่ ณ ตอนนี้ ได้ตระหนักถึงมหัตภัยของการเป็นหนี้ ว่ามันรุนแรงมากมายขนาดไหน และหากเป็นไปได้ ต้องพยายามปลดหนี้ที่มีอยู่ให้สำเร็จโดยเร็วทีุ่่สุด เมื่อทำได้ และวันนั้นมาถึง คุณจะรู้ว่า ชีวิตของการไม่มีหนี้ การไม่ต้องหลบหน้าเจ้าหนี้ และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าเป็นเช่นไร 

ขอให้ทุกท่านที่กำลังเป็นหนี้อยู่ จงปลดหนี้ไ้ด้ในเร็ววันครับ...

ไปหน้าแรก  การออมและการลงทุน



เรียบเรียงบทความบางส่วนจาก ไทยรัฐ

เผยเคล็ดลับดี ๆ ในการออมเงินของคนรวย เขาทำกันอย่างไร?

 
เทคนิคการออมและการลงทุน

เป็นใคร ใครก็อยากมีเงินเยอะๆ จริงไหมครับ หากคุณเคยสงสัยว่าคนรวยเขาทำยังไง ทั้งมีเงิน ทั้งประสบความสำเร็จ เราได้รวบรวมวิธีการออมเงิน ของคนรวย มาฝากในบทความนี้ จริงๆ แล้ววิธีการก็ไม่ได้ยากนะครับ แต่การมีวินัย และทำให้ได้อย่างที่ตั้งใจนั้นยากกว่าครับ มาดูกันเลยครับว่า วิธีการออมเงิน ของคนรวยมีอะไรกันบ้าง

1. ระวังค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ
คนเรามักจะระแวงการลงทุนใหญ่ๆ การซื้ออะไรแพงๆ แต่เรามักไม่ค่อยระวังกับการใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ แต่จริงๆ แล้วรายจ่ายๆเล็กๆ น้อยๆ นี่ล่ะที่ถ้าหลวมตัวแล้ว จะกลายเป็นเงินจำนวนมหาศาลได้เลยนะครับ

“ลองสำรวจดูว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรที่ตัดออกไปได้บ้าง เพราะคุณจะออมเงินจากตรงนั้นได้เยอะเลย”
- ซูซี ออร์แมน: หญิงผู้พลิกชะตาชีวิตตัวเองจากสาวเสิร์ฟ กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในโลกการเงินส่วนบุคคลของสหรัฐอเมริกา

2. แยกแยะรายรับรายจ่าย
มีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นมากมายที่เราต้องรับผิดชอบจนเผลอๆ อาจไม่มีเงินเก็บถ้าไม่วางแผนการเงินและงบประมาณการใช้จ่าย พวกรายรับ รายจ่าย ให้ดีๆ คนมีเงินรู้เสมอว่าเงินที่ได้มามาจากไหน และเงินที่จ่ายไป จ่ายกับอะไรบ้าง คุณอาจจะหาแอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนที่จะช่วยคุณติดตามการใช้จ่ายของตนเอง หรือจะใช้โปรแกรม Excel ก็ได้

“งบประมาณการใช้จ่ายเป็นสิ่งที่บอกว่า เงินของคุณจะจ่ายไปกับอะไรบ้าง แทนที่จะทำให้คุณสงสัยทีหลังว่า เงินหายไปไหน”
- จอห์น ซี แม็กซ์เวลล์: กูรูทางด้านการสร้างภาวะผู้นำอันดับ 1 ของโลก

3. ขยัน
คนอาจมองว่าคนรวยวันๆ คงไม่ทำอะไรนอกจากสนุกไปวันๆ แต่ความจริงแล้ว พวกเขาทำงานหนักกว่าคนทั่วไปเสียอีก ดังนั้น พยายามเพิ่มรายได้ และเมื่อทำสำเร็จแล้ว ลองออมเงินจำนวนหนึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดเท่าที่เคยทำมาก่อน

“ฉันชอบธุรกิจ และอันที่จริง ฉันออมเงินได้มากกว่าที่ใช้จ่ายเสียอีก ฉันนำเงินไปลงทุน วางแผนให้กับอนาคต มองหาโอกาสในชีวิตอยู่เสมอ และขยันทำงานกว่าที่หลายๆ คนคิดเสียอีก”
- โซเฟีย เวอร์การา: ดาราหน้าสวยคมที่โด่งดังจากซีรี่ย์ยอดฮิต Modern Family

4. ออมเงินรายได้เยอะๆ
นอกจากนี้ คนยังชอบมองว่าคนรวยใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายด้วย ทั้งที่ความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะอย่างนี้เขาเลยมีเงินไงล่ะ พวกเขาออมเงินส่วนหนึ่งจากรายได้เสมอ ดังนั้น ออมเงินจากรายได้ให้มากๆ นะครับ คุณจะได้มั่นใจว่าจะไม่ต้องเจอสถาการณ์เงินหมดกระเป๋า

“ออมเงินหนึ่งในสาม ใช้เองหนึ่งในสาม และบริจาคหนึ่งในสาม”
- แองเจลินา โจลี: จากดาราหนังฟอร์มยักษ์ สู่การรับหน้าที่เป็นทูตสันถวไมตรีของสหประชาชาติ

5. โฟกัสที่อนาคต
เป็นไหมครับ เวลาเจออะไรที่ชอบแล้ว เงินมักจะลอยไปง่ายๆ ทุกที และสุดท้ายแล้ว คุณจะไม่เหลือเงินเก็บแม้จะรายได้ดีก็ตาม ให้เปลี่ยนจากการคิดถึงความสุขแค่ปัจจุบันแล้วโฟกัสไปที่อนาคตแทน

“ตอนหนุ่มๆ ไม่มีเงิน ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เมื่อแก่ตัวลง ไม่มีเงินไม่ได้แน่”
- เทนเนสซี วิลเลียม: นักเขียนนวนิยายและเรื่องสั้นคนสำคัญชาวอเมริกัน

6. อย่าซื้อของไม่จำเป็นเพื่ออวดคนอื่น
ใครๆ ก็อยากมีของใช้ดีๆ ให้คนอื่นเห็น แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ต้องตั้งลิมิตให้กับตัวเองนะครับ คุณควรซื้อแค่ของที่จำเป็น ไม่ใช่ซื้อของเพื่อให้ตัวเองดูดีอย่างเดียว

“หยุดซื้อของที่ไม่จำเป็นเพื่อสร้างความประทับใจให้กับคนที่คุณไม่ได้ชอบเสียด้วยซ้ำ”
- ซูซี ออร์แมน: หนังสือ รู้แล้วรวย บทเรียนชีวิต หลักคิดเรื่องเงิน

7. อย่าปล่อยช่วงเซลให้เสียเปล่า
คนรวยเองก็ชอบใช้เงินให้เกิดคุณค่าสูงสุดเหมือนเราๆ นี่แหละครับ โดยวิธีที่พวกเขาใช้คือ การหาข้อเสนอที่ดีที่สุด การต่อรองราคา และการใช้ช่วงลดราคาให้เป็นประโยชน์

“จะจ่ายแพงไปทำไมในเมื่อคนอื่นไม่เห็นต้องจ่ายขนาดนั้นเลย”
- ซาร่าห์ มิเชล เกลล่าร์: นักแสดงจากทีวีซีรี่ส์ The Crazy Ones และ Buffy: The Vampire Slayer

8. นำเงินเก็บไปลงทุนอย่างชาญฉลาด
เรามักจะมองข้ามเงินจำนวนเล็กๆ น้อยๆ แต่หารู้ไม่ว่าหากนำเงินเหล่านั้นมารวมกันจะได้เป็นเงินจำนวนมาก หากคุณนำเงินไปลงทุนอย่างเหมาะสม คุณจะทึ่งกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

“เงินจำนวนนิดๆ หน่อยๆ บวกกับดอกเบี้ย สั่งสมไปเรื่อยๆ ทำอย่างนี้แล้วคุณจะประสบความสำเร็จ คุณอาจจะต้องผ่านการฝึกฝนหน่อยเพื่อฝ่าเศรษฐกิจอย่างนี้ แต่เมื่อคุณเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว คุณจะพบว่า การเก็บออมเงินด้วยเหตุผล มอบความสุขให้คุณได้มากกว่าการใช้จ่ายเงินอย่างไร้เหตุผลเสียอีก”
- พี.ที. บาร์นัม: ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโชว์แสดงของแปลก เจ้าของวลีดัง “มีคนโง่เกิดมาทุกนาที” ซึ่งหมายถึงคนที่ยอมจ่ายเงินเพื่อชมสิ่งหลอกลวง

9. ใช้สูตรมิลเลนเนียล
ปกติคนเรามักจะออมเงินในส่วนที่เหลือหลังจากใช้จ่ายกับสิ่งที่จำเป็นแล้ว ในขณะที่คนมีเงินทำตรงกันข้าม เราเรียกวิธีนี้ว่า “สูตรมิลเลนเนียล”
วิธีการก็คือ หลังจากเงินเดือนออกแล้ว ให้นำเงินส่วนหนึ่งแยกไว้เพื่อนำไปมอบให้แก่ชุมชนหรือบริจาค และอีกส่วนหนึ่งสำหรับการลงทุนเพื่อเป้าหมายทางการเงินของคุณเอง ส่วนเงินที่เหลือ ให้เอาไว้ใช้จ่าย

“อย่าออมเงินเท่าที่เหลือหลังจากใช้ไปแล้ว ให้ใช้เงินเท่าที่เหลือจากการออม”
- วอร์เรน บัฟเฟตต์: เป็นนักทำเงินจากการลงทุนที่เก่งที่สุดในโลก

10. ปิดรูรั่ว
คนรวยไม่เสียเงินให้กับค่าธรรมเนียมที่ไม่จำเป็น พวกเขาระมัดระวังกับการเก็บเงินค่าบริการและค่าธรรมเนียมที่หลีกเลี่ยงได้เสมอ

“ระวังค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ให้ดี เพราะแค่รูรั่วเล็กๆ สามารถจมเรือลำมหึมาได้”
- เบนจามิน แฟรงคลิน: รัฐบุรุษคนสำคัญของสหรัฐอเมริกา และนักวิทยาศาสตร์ ผู้ค้นพบประจุไฟฟ้า ในชั้นบรรยากาศ รวมทั้งผลงานการประดิษฐ์สายล่อฟ้า

หวังว่าทั้ง 10 วิธีนี้คงจะเป็นแนวทางในการเริ่มต้นการออมเงินให้กับคุณผู้อ่านได้บ้างนะครับ อย่างไรก็ตาม การออมเงินนั้นเป็นสิ่งที่ดี เคล็ดลับสำคัญที่สุดคือ "เมื่อได้รับเงินมา ให้หักออมก่อน ที่เหลือค่อยเอามาใช้จ่าย" ถ้าทำได้ตามนี้รับรองว่า ชีวิตจะไม่มีทางยากจนอย่างแน่นอนครับ ฟันธง!!!

ไปหน้าแรก  การออมและการลงทุน